เมืองไทย 360 องศา
ยังโชคดีที่ได้ “น้องเทนนิส” น.ส.พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่สามารถคว้าเหรียญทองเหรียญแรกในโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 จากกีฬาเทควันโดหญิง รุ่น 49 กิโลกรัม สามารถเยียวยาจิตใจคนไทยทั้งประเทศให้ชุ่มชื่น จนสามารถลืมเลือนความทุกข์ หดหู่ใจจากภาวะโรคระบาดจากเชื้อโควิด-19 ไปได้ชั่วขณะ แต่เชื่อเถอะนั่นเป็นความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วคราว เพราะในที่สุดแล้วก็จะต้องหวนกลับมาเจอกับสภาพความจริงที่ประสบอยู่เป็นรายวัน
เพราะจากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมของประเทศไทย ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม 2564 ดังนี้ พบจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ เพิ่มขึ้น 15,335 ราย แบ่งออกเป็นติดเชื้อใหม่ในประเทศ 15,316 ราย จากต่างประเทศ 19 ราย จากการตรวจเชิงรุก 2,916 ราย ติดเชื้อในเรือนจำ-ที่ต้องขัง 641 ราย Walk-in 11,759 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 129 คน ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมในช่วงการระบาดระลอกใหม่ ตั้งแต่ 1 เมษายน - 25 กรกฎาคม 2564 มีจำนวน 468,439 ราย เสียชีวิตสะสม 3,965 คน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยอาการหนัก 4,151 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 961 ราย
ส่วนผู้ติดเชื้อสะสมนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดเมื่อต้นปี 2563 มีจำนวน 497,302 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 4,059 คน ทำให้ประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ในอันดับที่ 47 ของโลก
เห็นตัวเลขดังกล่าวที่ทำสถิติใหม่แทบทุกวันแบบนี้ เชื่อว่า ทำให้เกิดความหดหู่ จนแทบจะไม่อยากคิดอะไร เพราะเมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ที่คงจำนวน “หลักหมื่น” แบบนี้มานานนับสัปดาห์แล้ว มันทำให้อดหวั่นวิตกไม่ได้ว่า ในอนาคตอีกไม่นาน ตัวเลขอาจจะพุ่งไปถึงหลัก “สามหมื่น” ก็ได้ และก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากพิจารณาจากบรรดา “คลัสเตอร์” หรือการติดเชื้อแบบหมู่ที่กำลังเกิดขึ้นมากมายในหลายจังหวัด และหลายแห่งก็จะเป็นแบบติดเชื้อหลักร้อย และหลายร้อยไปจนถึง “หลักพันคน” ในแต่ละวัน เรียกว่า ไม่มีแนวโน้มที่ดีเอาเสียเลย
ขณะเดียวกัน เมื่อได้รับรายงานเกี่ยวกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นในแต่ละวัน แต่ในอีกด้านหนึ่งในเรื่องของ “วัคซีน” นั้น ที่ถือว่าเป็นความหวังสูงสุดในเวลานี้ ที่จะสามารถต่อสู้ และระงับยับยั้งไม่ให้เชื้อโรคร้ายที่ว่านี้สร้างความเสียหาย ทั้งจำนวนผู้ป่วย และผู้เสียชีวิต กลับกลายเป็นว่าได้รับ “ข่าวร้าย” ว่า เราจะไม่ได้รับวัคซีนที่สั่งซื้อเอาไว้ได้ตามที่เคยสัญญาเอาไว้ นั่นคือ “วัคซีนไม่มาตามนัด”
เพราะจากการแถลงของผู้บริหารบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ที่เป็นผู้ผลิตวัคซีนหลักให้กับประเทศไทย ระบุอย่างชัดเจนแล้ว่า จะส่งวัคซีนให้กับเราได้ประมาณแค่เดือนละ 3-6 ล้านโดสเท่านั้น จากเดิมที่เคยเข้าใจกันว่าเราจะได้รับวัคซีนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป จนถึงปลายปีเดือนละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านโดส จากทั้งหมดที่สั่งซื้อเอาไว้จำนวน 61 ล้านโดส โดยบริษัทดังกล่าวอ้างถึงปัญหาในเรื่องวัตถุดิบในการผลิตวัคซีน มีปัญหาขาดแคลน แม้จะพอเข้าใจได้ถึงภาวะที่เกิดวิกฤตกันไปทั่วโลกที่ทุกประเทศต่างต้องแย่งกันหาวัคซีน
อย่างไรก็ดี นั่นก็ทำให้รับรู้ความจริงว่า จำนวนวัคซีนที่ว่าจะเข้ามาดังกล่าว ต้องพลาดเป้าออกไป ซึ่งในภาวการณ์ระบาดที่หนักหน่วงแบบนี้ ถือว่าเป็น “ข่าวร้าย” ที่ซ้ำเติมเข้ามาในจิตใจของประชาชนที่รอฉีดวัคซีน
ขณะเดียวกัน ในภาวะความขาดแคลนที่ว่านั้น ยังประดังเข้ามาด้วย “ข่าวป่วน” ที่มีรายงานแบบไม่มีที่มาที่ไปให้อ้างอิงได้ ทำนองว่า “วัคซีนล่องหน” นั่นคือ วัคซีนไฟเซอร์ ที่ได้รับบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จำนวน 1.5 ล้านโดส ที่ตามข่าวบอกว่าจะมาถึงไทยในปลายเดือนนี้ (29 กรกฎาคม) กลับมี “หมอคนหนึ่ง” อ้างว่า วัคซีนดังกล่าวหายไป 5-7 แสนโดส จากเดิมที่มีกำหนดจะฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า จำนวนราว 7 แสนคน แต่ล่าสุด กลายเป็นว่า เหลือวัคซีนไฟเซอร์ ที่จะฉีดให้แค่ 2 แสนโดสเท่านั้น
แน่นอนว่า ข่าวแบบนี้อาจเป็น “ข่าวปล่อย” ข่าวลือ หรือ “ข่าวมั่ว” ไม่มีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน แต่มันทำลายขวัญ และกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้า และที่สำคัญ ยัง “ทำลายรัฐบาล” เข้าอย่างจังอีกด้วย เพราะผ่านมาสองสามวันแล้ว แต่ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายกระทรวงสาธารณสุข กลับไม่มีการชี้แจงอย่างทันท่วงที ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ปล่อยให้เป็นเป้านิ่ง “ถูกด่า” มาพักใหญ่แล้ว
แม้ว่า ล่าสุด เมื่อเย็นวันที่ 25 กรกฎาคม นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงย้ำว่า “เป็นข่าวปลอม” โดยวัคซีนไฟเซอร์ ที่จะเข้ามาภายในเดือนนี้ โดยจะฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าจำนวนไม่น้อยกว่า 5 แสนโดส ที่เหลือจะจัดสรรไปยังกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยงอื่นๆ และเพื่อควบคุมการระบาดในพื้นที่ “ที่บอกว่าเหลือฉีดให้แค่สองแสนโดสนั้น ไม่จริง เป็นข่าวปลอม”
ก็ต้องถือว่านี่คือบทเรียนสำคัญ เพราะเรื่องแบบนี้ถือว่า “ละเอียดอ่อน” กระทบกับความรู้สึกของชาวบ้าน ที่มักจะอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะกับ “ข่าวมั่ว ข่าวปล่อย” แบบนี้อยู่เป็นประจำวันอยู่แล้ว ดังนั้น รัฐบาลหรือกระทรวงสาธารณสุขจะต้อง “ฉับไว” ต่อการชี้แจงความจริงออกมาอย่างทันท่วงที ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลจะ “ล้มเหลว” กับสงครามข่าวสาร และคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ถูก “ด่าฟรี” และซ้ำเติมวิกฤตเข้าไปอีก !!