เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อน ตราบใดที่รัฐบาลไม่ว่าจะโดยหน่วยงานไหนที่รับผิดชอบยังไม่สามารถ “จัดหาวัคซีน” มาฉีดให้กับประชาชนคนไทยได้ทั่วประเทศได้อย่างเพียงพอ รัฐบาลโดยเฉพาะ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ย่อมตกเป็นเป้านิ่ง และถูกรุมวิจารณ์จากทุกฝ่าย และที่สำคัญจะตกเป็น “เหยื่ออันโอชะ” ของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ที่ต้องใช้โอกาสแบบนี้รุม “กินโต๊ะ”ได้ถนัดมือ เป้าหมายเฉพาะหน้าคือ “ถล่มให้เดี้ยง” ก่อนเวลาให้เร็วที่สุด
พิจารณาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ประจำวัน อยู่ในระดับ “กว่าหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคน” และกำลังจะแตะตัวเลข “หมื่นสองหมื่นสาม” หรืออาจพุ่งไปถึง “สามหมื่นคน” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เป็นได้ เมื่อมองจากสภาพความเป็นจริงของ “เชื้อกลายพันธุ์” สายพันธุ์ “เดลต้า” ที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลกในเวลานี้ โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเซีย
แม้ว่าตามตัวเลขผู้ติดเชื้อ เมื่อเปรียบเทียบกับทุกประเทศในละแวกอาเซียน เช่น มาเลเซีย ที่พุ่งไปกว่าหมื่นสอง หมื่นสาม ต่อเนื่องกัน หรือแม้แต่เวียดนามที่ก่อนหน้านี้มีเสียงชมว่าจัดการปัญหาติดเชื้อโควิดได้ดีระดับแถวหน้า แค่หลักสิบหลักร้อย เสียชีวิตรวมกันแค่หลักสิบคน แต่มาวันนี้ใครจะนึกว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เวียดนามมีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากหลักพันคนมาต่อเนื่องสามสี่วัน แต่เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมานี่เอง ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นไปถึง 5,926 คน
หรือแม้แต่เมียนมา ที่เป็นตัวเลขจากทางการระบุว่า มีผู้ติดเชื้อราว 4-5พันคน แต่เชื่อว่าด้วยระบบสาธารณสุขที่เปราะบาง ใกล้จะล่มสลายหลังจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่า “ตัวเลขจริง” น่าจะมากกว่านั้นหลายเท่า คาดกันว่าน่าจะเป็น “หลักหมื่นคน” ไปนานแล้วก็ได้
ซึ่งตัวเลขแบบนี้ไม่ต้องไปพูดถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่นำหน้าไปไกลลิบ ไม่เว้นแม้แต่สิงคโปร์ ที่เวลานี้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งเป็นตัวเลขสองหลัก ซึ่งอาจจะดูน้อย แต่สำหรับประเทศที่มีจำนวนประชากรไม่ถึงหกล้านคน และได้รับคำชมว่า จัดการกับปัญหาโรคระบาดโควิดได้ดีเยี่ยมมาถึงวันนี้เมื่อเจอกับ “เดลต้า” ก็เริ่มป่วนเหมือนกัน
นั่นเป็นรายงานตัวเลขคร่าวๆ ที่ชี้ให้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อตามความเป็นจริงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในละแวกอาเซียนด้วยกัน ที่ “หนักหน่วง” พอกัน หรือใกล้เคียงกัน หรือบางประเทศที่สาหัสกว่าเราหลายเท่า แม้แต่บางประเทศที่เคยได้รับคำชมว่า รับมือได้ “เจ๋ง” อย่างเวียดนาม มาวันนี้ถือว่า “มือไม้ปั่นป่วนเป็นพัลวัน” ต้องล็อกดาวน์เมือง “โฮจิมินห์” เมืองเศรษฐกิจหลักทางภาคใต้ รวมทั้งขอความร่วมมือแบบเข้ม ไม่ให้ประชาชนในกรุงฮานอยออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ดี นั่นคงไม่ใช่การนำมาเป็นข้ออ้างที่ชี้ให้เห็นเปรียบเทียบในทำนองว่า “คนอื่นก็แย่กว่าเรา” อะไรประมาณนี้ แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ต้องให้ความเป็นธรรมด้วยว่า เชื้อกลายพันธุ์ “เดลต้า” นี้มันร้ายจริงๆ และกำลังระบาดอย่างรุนแรง รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดิมหลายเท่า
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยเวลานี้ต้องยอมรับว่ากำลังเข้าขั้น “หนัก” และ “ใกล้วิกฤต” เต็มที หากไม่สามารถทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ลดลงได้ รวมไปถึงทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตลดลงต่ำกว่าหลักร้อยมาได้ มันก็ต้องไปถึงสถานะแบบนั้นจนได้
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากตัวเลขดังกล่าวอีกด้านหนึ่งมันก็ย่อมส่งผลกระทบในทางลบไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำสูงสุด และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรมว.สาธารณสุข ที่ต้องรับผิดชอบแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อรวมไปถึงตัวเลขผู้เสียชีวิตที่พุ่งพรวดแบบนี้ ความหวังมันก็ย่อมฝากเอาไว้ที่ “วัคซีน” แม้ว่าในทางการแพทย์จะระบุว่า ไม่อาจประกันในการป้องกันการติดเชื้อได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็สามารถลดอัตราการป่วยหนัก ลดการเสียชีวิตลงได้มาก เป็นการลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ลงได้ตามไปด้วย อีกทั้งยังเป็นความหวังในการกลับมาเดินหน้าทางเศรษฐกิจได้บ้าง
แต่ในความเป็นจริงเวลานี้ก็คือ จำนวนวัคซีนที่นำเข้ามามัน “ไม่ทันการณ์” ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน “เสินเจิ้น” ที่มีบางพวกพยายาม “ด้อยค่า” รวมไปถึง “วัคซีนเทพ” อย่าง ไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา ที่คุยกันเรื่องตัวเลขว่าจะมีเป็นยี่ยิบ ถึงห้าสิบล้านโดส สารพัด แต่ตามที่แถลงยืนยันกว่าจะมาถึง ก็ต้องรออีกสองสามเดือน ไปจนถึงปีหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ยัง “ไม่ชัวร์” เพราะตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย ที่ไม่สามารถต่อรองได้มากนัก ทำให้สถานการณ์ไม่มีความมั่นคง
อย่างไรก็ดี จุดพลิกผันก็ยังอยู่ที่ “วัคซีน” อยู่ดี เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า ตราบใดที่รัฐบาล โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำยังไม่อาจ “หาทาง” นำเข้าวัคซีนเข้ามาฉีดให้ประชาชนได้อย่างเพียงพอ “ในเวลาอันรวดเร็ว” ซึ่งนาทีนี้ อารมณ์ของชาวบ้านกำลัง “รอวัคซีน” ดังนั้น ต้องทำทุกทางวิธีใดก็ได้ วัคซีนยี่ห้อไหนก็ได้ ที่ได้รับการรับรองต้องนำมาฉีดให้พอ หากเวลานี้วัคซีนหลักอย่าง “แอสตร้าเซเนกา” ที่ตามข่าวบอกว่า มาไม่ครบ ก็ต้องหันไปทางอื่น หามาเติมหรือเพิ่ม อาจเป็น “ซิโนฟาร์ม” ที่เป็นทางเลือก แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปก็ทำให้เป็น “ทางเลือกแบบหลัก” ได้หรือไม่ นั่นคือ ให้ “จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย” สั่งซื้อเข้ามาฉีดฟรีเร่งด่วนก่อนได้หรือไม่ หรือใช้วิธีไหนก็ได้ เชื่อว่าต้องมีทางออก
เพราะนี่คือทางเลือก ทางรอด ทั้งของประชาชนคนไทย ที่กำลังต้องการวัคซีนเข้ามาก่อนอย่างเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหน ก็ขอให้นำเข้ามาก่อน ไม่เช่นนั้นหากยังรอ “วัคซีนเทพ” ที่จะมาปลายปี และต้นปีหน้า โดยระหว่างนี้ให้ “รอ”ไปก่อน นั้นรับรองว่า “เครียด” แน่ และที่สำคัญ “ลุงตู่” นั่นแหละจะ “เดี้ยง” ไปด้วย !!