เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุด เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข ก็มีการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ระหว่าง นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ Ms.Deborah Seifert ผู้จัดการบริษัท Pfizer ประเทศไทยและอินโดไชนา เพื่อจัดหาวัคซีนโควิด-19 จำนวน 20 ล้านโดส โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นสักขีพยาน
นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยได้ทำงานร่วมกับ บริษัท ไฟเซอร์ อย่างหนักในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้อตกลงร่วมกันในการจัดหาวัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์ 20 ล้านโดส มาให้กับคนไทย เชื่อว่า ความร่วมมือนี้จะนำไปสู่การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น มั่นใจว่า วัคซีนที่สั่งซื้อจะมาภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ตามข้อตกลงในสัญญา
อย่างไรก็ตาม จะมีวัคซีนไฟเซอร์ ที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐอเมริกา 1.5 ล้านโดส มาถึงในปลายเดือนนี้ เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ผู้สูงอายุ และกลุ่มอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเห็นชอบ รวมทั้งประเทศไทยมีแผนสั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 50 ล้านโดส ในปีหน้า
แน่นอนว่า นี่คือ ข่าวดีสำหรับบรรดา “สาวก” ที่ชื่นชม ยกย่องวัคซีนของสหรัฐอเมริกา และเชื่อมั่นในประสิทธิภาพในการป้องกันและการสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อโควิด-19 จนไม่ต่างจาก “วัคซีนเทพ” กันเลยทีเดียว ถึงขนาดบางคนที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นต้องกระเสือกกระสนไปฉีดถึงสหรัฐอเมริกา แล้วโพสต์โชว์ อวดลงในโซเชียลฯ ก็มีมากมาย
ขณะเดียวกัน ก็มีการ “ด้อยค่า” วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี่ “เชื้อตาย” ของจีน ที่ไทยใช้เป็นวัคซีนหลัก เช่น ซิโนแวค หรือแม้แต่วันซีนทางเลือกอย่าง ซิโนฟาร์ม แต่ถึงอย่างไรเป้าหมายหลักของ “คนบางกลุ่ม” ที่มี “เป้าหมายทางการเมือง” ก็พุ่งเป้าไปที่วัคซีนซิโนแวค เป็นหลัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ “ไอดอล” ของพวกเขา อย่าง นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมไปถึงคนในครอบครัว ต่างเลือกฉีดวัคซีน “ซิโนฟาร์ม” ของจีน โดยเฉพาะลูกสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่าง นางแพทองธาร ชินวัตร ก็ยังเลือกฉีดยี่ห้อดังกล่าว และมีการรีวิวในทำนองว่า ยังไม่เชื่อมั่นในเทคโนโลยี mRNA แบบของไฟเซอร์ และ โมเดิร์นนา ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ปัญหาของไทยที่เหมือนกับหลายประเทศทั่วโลก ยกเว้นประเทศผู้ผลิตวัคซีน และประเทศตะวันตกที่ร่ำรวย “ได้รับวัคซีนไม่เพียงพอ” จนสร้างความหวาดกลัว และความกดดันในท่ามกลางสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงจนยากจะควบคุมในเวลานี้
และเรื่องวัคซีนก็กลายเป็นเรื่อง “การเมือง” ที่แต่ละฝ่ายต่างยกมาเป็นสาเหตุสำหรับโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะการพุ่งเป้าโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะแพทย์ที่รับผิดชอบในการพิจารณาจัดหาวัคซีน เป็นหลัก
อย่างไรก็ดี เมื่อวกกลับมาที่การเซ็นสัญญาสั่งซื้อและกำหนดการส่งมอบวัคซีน “ไฟเซอร์” จำนวน 20 ล้านโดส เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่มีอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นผู้ลงนามฝ่ายรัฐ และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นสักขีพยาน
จะว่าไปแล้ว การสั่งซื้อวัคซีนดังกล่าวจำนวน 20 ล้านโดส หากจำกันได้ก็มีการแถลงไปก่อนหน้านี้นานสองสามสัปดาห์แล้ว แต่เอาเป็นว่า เมื่อมีการ “จบดีล” กันไปแล้ว ก็ว่ากันไป
แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมว่า กว่า “วัคซีนเทพไฟเซอร์” จะเข้ามานั้น ตามที่แถลงตรงกันว่ามา “ไตรมาส 4” ซึ่งก็คือ ตั้งแต่เดือน “ตุลาคม-ธันวาคม” ซึ่งก็คือ “อีกราว 3 เดือน” และเชื่อว่า เมื่อถึงเดือนตุลาคมที่ว่านั้น วัคซีนคงไม่มาตูมเดียว 20 ล้านโดสแน่นอน ซึ่งเป็นไปได้อีกเหมือนกันว่า เดือนแรกคือเดือนตุลาคม อาจมาแค่ 5 หมื่นโดส มากหรือน้อยกว่านั้นก็ได้ เพราะตามที่แถลงบอกว่า ในไตรมาส 4 ในปี 2564 จำนวน 20 ล้านโดส ดังนั้น อาจมาจำนวนมากสัก 10 ล้านโดสในเดือนธันวาคม ก็เป็นไปได้
ซึ่งก็เหมือนกับกรณีของการทำสัญญากับ “วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า” ที่ล่าสุด ทางอธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุแล้วว่า จะมีการส่งมอบให้ไทยได้แต่ละเดือน ราว 5 ล้านโดสเท่านั้น และยังบอกอีกว่า หากบริษัทมีกำลังการผลิตมากพอ ก็จะ “ส่งมาเพิ่ม” แต่ไม่ได้ยืนยันว่ามาจำนวน 10 ล้านโดส ในแต่ละเดือน เพียงแต่บอกว่า ภายในสิ้นปี 64 อาจจะได้รับจำนวน 61 ล้านโดส
ดังนั้น หากพิจารณาตามตารางเวลา และจำนวนวัคซีนที่เพิ่งลงนามสั่งซื้อ อย่างวัคซีนไฟเซอร์ ก็ต้องรออีก “ไม่น้อยกว่า 3 เดือน” คือ จะมาถึงในเดือนตุลาคม จนถึงเดือนธันวาคม รอกันไหวหรือไม่ ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและการระบาดสูงมาก และที่สำคัญ เวลานี้วัคซีนยี่ห้ออื่นมันก็ยังไม่พอ และมาช้า เพราะเมื่อพิจารณาจากจำนวนการฉีดวัคซีนในแต่ละวันเวลานี้ ทำได้แค่ราวๆ กว่า “สองแสนโดส” เท่านั้น ถือว่าน้อยมาก อีกทั้ง “วัคซีนเสิ่นเจิ้น” ที่ถูกด้อยค่า ก็ยังไม่พอให้ฉีดอีกด้วย !!