เมืองไทย 360 องศา
หากสังเกตจะเห็นว่า ช่วงนี้หน้าตาของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีข้อหาและหมายจับคดีทุจริตหลายคดีติดตัวจะสดชื่นเป็นพิเศษ ลักษณะก็เหมือนกับมีกำลังใจ หรือ “มีความหวัง” อะไรบางอย่าง กับการเคลื่อนไหวผ่านทางสื่อโซเชียลฯ บ่อยครั้งขึ้น
ในช่วงหลัง นายทักษิณ หรือที่ใช้ชื่อ “โทนี่ วู้ดซัม” ในโลกโซเชียลฯ ในกลุ่ม “คลับเฮาส์แคร์” ใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับบรรดาผู้สนับสนุนและลูกน้องเก่าๆ ของเขา ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในช่วงจังหวะเวลาที่เขาออกมาเคลื่อนไหวก็เป็นช่วงที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากวิกฤตโรคระบาดจากเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ทั้งในเรื่องการบริหารจัดการวัคซีน และการรับมือป้องกันการระบาด
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันตามความเป็นจริงในเวลานี้ “คู่ต่อสู้” หรือว่า “คู่แข่ง” ในทางอำนาจของ นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งในเวลานี้ หรือในอนาคตข้างหน้า ที่น่าจะมีศักยภาพที่พอจับต้องได้ก็น่าจะมีเพียงคนเดียว ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่แหละ ส่วนคนอื่นก็อาจจะมี แต่ในเวลานี้ยังมองไม่เห็น
เพราะสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว ก็คือ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โค่นอำนาจ “ระบอบทักษิณ” ลงไปแล้ว ผ่านมา 7 ปี กำลังเข้าสู่ปีที่แปด ที่แม้ว่าเขาจะถูกวิจารณ์จน “อ่อนแรง” ลงไปไม่น้อย แต่ขณะเดียวกัน สภาพของฝ่าย “เครือข่ายทักษิณ” ก็ยังรวมตัวกันไม่ติด และที่สำคัญ “อ่อนแรงยิ่งกว่า” เพราะมีการแตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง
พิจารณาจากกลไกหลักทางการเมืองเวลานี้ คือ พรรคเพื่อไทย ก็ต้องบอกตามสภาพที่เห็นประจักษ์สายตาว่า “ด้อยประสิทธิภาพ” ลงไปแทบจะเรียกว่า “ไร้บทบาท” ในเวทีการเมืองหลัก ทั้งในสภาและนอกสภา ทั้งที่ตามตัวเลขแล้วเป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดในสภา แต่บทบาทกลับถูกพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่เป็นฝายค้านในสภาชี้นำและครอบงำบทบาทแทบจะสิ้นเชิง เพราะหากมองภาพไม่ออกก็ลองเอ่ยชื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนปัจจุบันว่าเป็นใคร เชื่อหลายคนคงไม่รู้จัก หรือลืมไปแล้วก็ได้
สภาพของพรรคเพื่อไทยเวลานี้ ภายในมีแต่ความแตกแยก เป็นลักษณะ “ลูกน้อง” ที่ต่างไม่ให้การยอมรับซึ่งกันและกัน และแน่นอนว่า เมื่อพูดถึงพรรคดังกล่าวก็ย่อมต้องมองไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร หรือในชื่อใหม่ว่า “นายโทนี่ วู้ดซัม” นั่นแหละ แม้ว่าในทางนิตินัยอาจพยายามให้เห็นว่าไม่ใช่เจ้าของ แต่ทางพฤตินัยทางการเมือง ใครก็ย่อมมองออกว่าสถานะเป็นแบบไหน
จากสภาพที่รับรู้กันในทางการเมือง ในพรรคเพื่อไทยที่มีแต่ข่าว “เลือดไหลออก” นั่นคือ ส.ส. “งูเห่า” ทั้งที่ประกาศตัวย้ายพรรคชัดเจน หรือพวกที่ยังกบดานนิ่ง แต่ถึงเวลา “โหวตสวน” ทุกเรื่อง และคาดว่า หากมีการเลือกตั้งวันใด จะมีพวก ส.ส.รอตบเท้าย้ายพรรคกันเพียบ อย่างน้อยที่คาดว่าจะต้องเกิดอีกชุดใหญ่ก็คือ ย้ายออกไปร่วมพรรค “ไทยสร้างไทย” ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
เมื่อพิจารณาตามสถานการณ์แล้ว และเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร แบบถี่ยิบในช่วงเวลานี้ นอกจากเป็นเรื่องที่คาดหมายได้ว่า เป็นเพราะได้จังหวะโอกาสที่หนึ่งเป็นช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลัง “เป๋” จากสถานการณ์โรคระบาดโควิดระลอกใหม่ ที่คาดว่าจะต้องยืดเยื้ออีกนาน ออกมา “กระหน่ำ” ให้หนักมือ
และสอง การออกมาในช่วงจังหวะแบบนี้มันก็เหมือนกับเป็นการ “เรียกความมั่นใจ” เพื่อ “ตรึงกำลัง” ไม่ให้ ส.ส.ย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ผมกลับ (ไทย) แน่” และยังย้ำว่า “กลับทางประตูหน้า ไม่ใช่ประตูหลัง” แม้ว่าจะยังกำกวมไม่บอกว่าเป็นช่วงไหน แต่ความหมายเพื่อให้บรรดาสาวกได้ “มีกำลังใจ” ฮึดสู้ ไม่ตีจากไปไหน
คำพูดที่บอกว่า “กลับแน่ และกลับทางประตูหน้า” มันก็เป็นความพยายามส่งสัญญาณให้เห็นว่าเขา “พร้อมสู้” อีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่ให้ย้ายออกไป อีกทั้งยังมั่นใจใน “เกมแก้รัฐธรรมนูญ” หากสามารถเดินหน้าไปสู่การใช้บัตรเลือกตั้งสองใบได้สำเร็จ เขาก็ยิ่งมีความหวัง และผู้สนับสนุนก็มีความหวังว่าจะชนะการเลือกตั้ง ได้กลับมากุมอำนาจรัฐอีกครั้ง
แม้ว่าหลายคนจะพยายามย้อนอดีตคำพูดในลักษณะแบบนี้ของ นายทักษิณ ชินวัตร ว่า เคยเกิดขึ้นมาแล้วหากจำกันได้เมื่อราวเดือนเมษายนปี 2552 ที่ช่วงม็อบคนเสื้อแดงที่ประกาศว่า “เมื่อเสียงปืนแตกวันใด ผมจะเดินนำเข้ากรุงเทพฯทันที” แต่ผลที่ตามมาอย่างที่รู้กัน ก็คือ มีแต่คนเสื้อแดงที่ติดคุกอย่างโดดเดี่ยว มีคดีติดตัว ขณะที่คนในครอบครัวนี้ “หนีเอาตัวรอด”
ดังนั้น หากพิจารณาย้อนอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จากคำพูดและการเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ก็น่าจะอ่านทางออกว่าเป็นเพียงการ “ฉวยจังหวะ” ช่วงที่ฝ่ายตรงข้ามในที่นี้ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่ม “เป๋” โดนถล่มจากปัญหาโรคระบาดโควิด ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้สนับสนุน โดยเฉพาะการ “ตรึง” ส.ส.เพื่อไทยไม่ให้ “ไหลออก” เท่านั้น และหวังไปไกลอีกว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งกลับมากุมอำนาจรัฐอีกรอบ ซึ่งนั่นแหละคือความหมายที่ว่า “จะกลับมาทางประตูหน้า” ส่วนจะเป็นแบบ “นิรโทษกรรม” หรือไม่ ทางยังอีกไกล !!