xs
xsm
sm
md
lg

ณวัฒน์ ณ หิวแสง เมื่อรับความจริงไม่ได้ ถึงจะกับชวน fc มาถล่มสื่อผู้จัดการ **ไม้ล้างป่าช้า “จีที 200” ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อกว่า 100 ราย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**ก็มาดิครับ.. ณวัฒน์ ณ หิวแสง เมื่อรับความจริงไม่ได้ ถึงจะกับชวน fc มาถล่มสื่อผู้จัดการ

มาถึงวันนี้ “ณวัฒน์ อิสรไกรศีล” พิธีกรและเจ้าของมิสแกรนด์ไทยแลนด์ ยังอยู่ระหว่างรักษาอาการติดเชื่อโควิด แต่กลับมีเวลาไลฟ์สดพร้อมด้วยอาการหอบสั่น อารมณ์เกรี้ยวกราด สวมหน้ากากออกซิเจนฟาดงวงฟาดงาใส่คนนั้นคนนี้ เหมือนก่อนหน้าที่พยายามสร้างความเกลียดชังให้กับนายทุนยักษ์ใหญ่ ไล่มาถึง ช่อง 3 ที่ตัวเองทำงาน ว่าเป็นช่องทีวีรับเศษเงินนายทุนมาจัดการกับตัวเองเลยขอลาออก

มาล่าสุด ขุดเรื่องเก่า “รสนิยม” การเมืองที่คนกลุ่มหนึ่งสนับสนุนทหาร แล้วชวนคนที่เข้ามาฟังให้เอาเรื่อง “นกหวีดติดคอ” ที่เชื้อเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะทหารเข้ามาบริหารประเทศ จนประเทศไม่มีความสุข พาประเทศมาถึงจุดวิกฤตในวันนี้ คนเหล่านี้ต้องรับผิดชอบ แถมไปหาว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีอาชีพหมอด้วย ที่พยายามจะไล่ตัวเองที่ด่า “สลิ่ม” เป็นประจำ ออกจากโรงพยาบาล
จะว่าอาการหนัก สติหลุด หรือเพราะผลข้างเคียงจากโควิดจนสมองสั่งสมแต่ความเคียดแค้นก็ไม่รู้ คนที่เห็นภาพของ “ณวัฒน์” ที่ไลฟ์สดก็พอจะเห็นถึงการยกเมฆมาสร้างความเกลียดชังออกสื่อไปวันๆ สมฉายา ดาวหิวแสง ที่ชาวโซเชียลฯมอบให้

ณวัฒน์  อิสรไกรศีล
ความจริงว่าจะไม่อยากจะให้ราคากับ “ดาวหิวแสง” คนนี้อยู่แล้วเชียว ถ้าช่วงหนึ่งของการไลฟ์สดมันปาก อาการเกรี้ยวกราดฟาดไปฟาดมา “ณวัฒน์” ได้หยิบพาดหัว “ข่าวปนคน” ที่พูดถึงการกล้าลาออกจากช่อง 3 ของเขา เพราะมีมิสแกรนด์ฯ อยู่เป็นฐานที่มั่น ทำเป็นการโชว์ทิ้งรายไดัจากงานพิธีกร ไม่ขอรับเศษสตางค์นายทุน กับความจริงที่รับไม่ได้ที่มิสแกรนด์ฯ เป็นเวทีละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำนางงามและพี่เลี้ยงติดโควิดกันระนาว
ข่าวก็บอกอยู่แล้วว่า ทาง ผอ.เขตเขาไม่ปล่อยผ่าน ไปแจ้งความ ก็หยิบเรื่องนี้สบถ ปากบอกว่า ไม่อยากจะยุ่งกับ “สื่อเฮงซวย” สื่อหนึ่ง ใช้คำว่า “กูอุตส่าห์ไม่มองมึง” ไอ้สื่อที่มันเริ่มมาป็นเสื้อเหลือง บอกใบ้โบ้ยคนให้พิมพ์ชื่อมาว่า สื่ออะไร เพจอะไร โดยหาว่า เป็นสื่อที่เป็นตำนาน “เสื้อเหลืองขยะ” ปิดถนน ต้นเหตุแห่งความชิบหาย ทำให้สังคมไม่มีความสุข แถมด้วยยุยงให้ FC ของตัวเองที่ว่า มี 4 หมื่น 5 พันคนบ้างไปถล่มมัน ไปศึกษามาแล้วว่าพวกเราเป็นคนมีสมอง ต้องไปจัดการมัน เสิร์ชชื่อแล้วไปจัดการซะ
โถๆๆ “ณวัฒน์” ก็เอ่ยตรงๆ ก็ไดั ถ้านักเลงพอ ก้อมาดิครับ !!! สื่อเครือผู้จัดการ ยินดีรอเสมอ พร้อมจะจัดสปอตไลต์ดวงโตๆ ไว้ต้อนรับอีกต่างหาก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อาการคั่งแค้นของ “ณวัฒน์” ก็ดูออกแหละว่า เพราะเครียดจากพิษไข้ ไม่เช่นนั้นคงไม่เพ้อหาว่าหมอไล่ออกจากโรงพยาบาล อาการอยากได้แสง อยากเป็น “someone” คนสำคัญของสังคม แต่ตะบี้ตะบันตะแบงในเรื่องที่มีแต่สร้างความเกลียดชังให้สังคม ข่มขู่กรรโชก ให้คนบริจาค ย้ำคิดย้ำทำ พูดจาหยาบคาย ไม่ยอมรับความจริง
แบบนี้ใครกันที่ “เฮงซวย” ช่วยตอบหน่อย



**ไม้ล้างป่าช้า “จีที 200” อีกหนึ่ง “ค่าโง่” พันล้าน ยุค “บิ๊กป๊อก” เป็น ผบ.ทบ. ที่วันนี้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อกว่า 100 ราย มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีมติชี้มูลความผิดกรณีการจัดซื้อครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติด (จีที 200) ของหน่วยงานต่างๆ ที่ร้องมาที่ ป.ป.ช. ทั้งหมด 20 สำนวน มีผู้ถูกชี้มูลความผิดกว่า 100 คน
หน่วยงานที่ถูกชี้มูลความผิด อาทิ กรมสรรพาวุธทหารบก กรมสรรมพาวุธทหารอากาศ กรมศุลกากร สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ...
ผู้ถูกชี้มูลความผิด ส่วนใหญ่เป็นคณะ กก.จัดซื้อจัดจ้าง และคณะ กก.ตรวจรับมอบงานของแต่ละหน่วย และมีหัวหน้าส่วนราชการบางคน ถูกร่วมชี้มูลความผิดด้วย ส่วนใหญ่เป็นความผิดวินัย มีทั้งวินัยร้ายแรง และไม่ร้ายแรง กรณีการตรวจรับงานไม่เป็นไปตามระเบียบ ส่วนโทษทางอาญา ก็มีเพียงบางส่วน

 เครื่องตรวจจับระเบิด จีที 200
เครื่องตรวจวัตถุระเบิด “จีที 200” หรือ “เครื่องตรวจจับสสารระยะไกล” ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “ไม้ล้างป่าช้า” นั้น บริษัทผู้ผลิต อ้างว่า การทำงานของเครื่องตัวนี้ ใช้หลักไฟฟ้าสถิตบนร่างกาย ในการตรวจหา สสารตามประเภทของ “เซ็นเซอร์การ์ด” ที่ใส่เข้าไปในเครื่องให้ตรวจสอบ มีตั้งแต่ ตรวจกระสุน สารระเบิด ยาเสพติด ทองคำ งาช้าง ธนบัตร ไปจนถึงร่างกายมนุษย์ โดยสามารถตรวจจับได้ทั้ง บนบก บนน้ำ ในอากาศ ใต้น้ำ และใต้ดิน ตั้งแต่ 60-4,000 เมตร ...มีเจ้าตัวนี้ก็เหมือนมีตาทิพย์ หูทิพย์ กันเลยทีเดียว

“กองทัพอากาศ” คือ หน่วยงานแรกของไทยที่ซื้อ “จีที 200” มาใช้ เมื่อปี 2548 ในราคา 9.66 แสนบาท มีการนำไปใช้งานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็พบว่าสามารถตรวจพบ อาวุธ กระสุน วัตถุระเบิดหลายครั้ง จนสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน

บรรดาผู้ปฏิบัติงานต่างร่ำร้องอยากมี “จีที 200” ไว้ใช้ ตรวจอาวุธ ตรวจระเบิด บอกมีแล้วอุ่นใจ เหมือนได้แขวนพระเครื่อง ยามที่ต้องออกไปเสี่ยงภัย

หลังจากนั้น หน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ก็ตั้งเรื่องจัดซื้อเจ้า “จีที 200” กันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะหน่วยงานในกองทัพบก ยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกฯ และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ. ซื้อเยอะ ซื้อบ่อย แถมเป็นการจัดซื้อพิเศษ ตามคำขอของหน่วยงานในพื้นที่ โดยไม่ผ่านขั้นตอนปกติของกองทัพ

ตามตัวเลขที่ได้ประมวลกันไว้ ในช่วงปี 48-53 หน่วยงานรัฐต่างๆ ประมาณ 15 หน่วยงาน ได้ซื้อ “จีที 200” มาใช้รวมแล้วประมาณ 1,400 เครื่อง เป็นเงินกว่า 1,100 ล้านบาท ราคาก็มีตั้งแต่เครื่องละ 4.26 แสนบาท ไปจนถึง 1.38 ล้านบาท

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
แต่แล้วก็มาถึงเวลา “โป๊ะแตก” เมื่อเกิดเหตุระเบิดที่ข้างโรงแรมเมอร์ลิน จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 52 และที่ ตลาดสด จ.ยะลา เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 52 โดยที่เจ้า “จีที 200” ไม่สามารถตรวจพบเบาะแส ที่พอจะบอกอะไรล่วงหน้าได้เลย จึงมีเสียงเรียกร้องให้มีการพิสูจน์ถึงการทำงานของเครื่องตรวจระเบิดนี้
“เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ “ผ่าเครื่อง” มาตรวจสอบแล้วบอกว่า นี่ไม่ต่างอะไรกับ “ไม้ล้างป่าช้า” เพราะไม่มีหลักการวิทยาศาสตร์อะไรรองรับในการทำงานเลย
สำนักข่าวบีบีซี ตรวจสอบ “เซ็นเซอร์การ์ด” ตรวจจับสสาร ของ จีที 200 พบว่า เป็นเพียงกระดาษเปล่า 2 แผ่น แปะเข้าหากัน รวมถึงภายในเครื่องไม่มีอุปกรณ์นำไฟฟ้าใดๆ
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แถลงว่า ผลการทดสอบ “จีที 200” จำนวน 20 ครั้ง ปรากฏว่า หาวัตถุระเบิดได้ถูกต้องเพียง 4 ครั้ง ซึ่งมีนัยทางสถิติไม่ต่างอะไรจากการ “เดาสุ่ม” และสั่งให้ทุกหน่วยงานยกเลิกการจัดซื้อโดยทันที
ต่อมา ศาลอังกฤษ และเวลส์ ตัดสินจำคุก ผู้ก่อตั้งบริษัทที่จัดสร้าง และจำหน่าย “จีที 200” ในความผิดฐานฉ้อโกง จากการขายอุปกรณ์ปลอมเหล่านี้ให้กับรัฐบาลประเทศต่างๆ รวมถึงไทย และมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สิน เพื่อนำมาขายทอดตลาด จ่ายเป็นเงินชดเชยความเสียหายให้กับลูกค้าด้วย
และในประเทศไทยก็มีการร้องเรียน ให้ตรวจสอบหน่วยงานที่มีการจัดซื้อ “จีที 200” จนเป็นที่มาของการชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกว่า 100 รายในวันนี้
การซื้อ “ไม้ล้างป่าช้า” มาใช้ตรวจหาระเบิด ก็ไม่ต่างอะไรกับการเสีย “ค่าโง่” ...ซึ่งในยุค “บิ๊กป๊อก-บิ๊กตู่” เป็น ผบ.ทบ.นั้น ยังมี “ค่าโง่” อีกอย่างที่มาควบคู่กันกับไม้ล้างป่าช้า คือ “เรือเหาะตรวจการณ์” 350 ล้าน ที่ซื้อมาจอดอยู่ในโรงเก็บ 8 ปี จนปลดประจำการ แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานเลย




กำลังโหลดความคิดเห็น