เห็นใจหมอบ้าง! มิใช่แค่คำวิงวอน แพทย์ รพ.ดัง หลั่งน้ำตาสะท้อนภาพ เตียงไอซียูล้น ต้องเลือกใครไปต่อ สัญญาณล่มสลายใน กทม. บอกให้รู้ว่า จะกระจายไปทั่วประเทศ จับตา “3 นิ้ว-จตุพร-นกเขา” ส่อคลัสเตอร์ใหม่ ไม่รับผิดชอบสังคม
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “เห็นใจหมอบ้าง!? แพทย์ รพ.ดัง หลั่งน้ำตา เตียงไอซียูล้น เริ่มรับมือไม่ไหว ม็อบนัดรวมตัว ยิ่งเสี่ยงคลัสเตอร์ใหม่ สร้างเหตุการณ์เลวร้าย ซ้ำเติมประเทศ!!”
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่ รศ.พญ.ยุวเรศมคฐ์ สิทธิชาญบัญชา หัวหน้าภาคเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์เตียงไอซียู เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา ระบุว่า เตียงไอซียูล้นแล้ว เริ่มต้องเลือกว่าใครจะได้ไปต่อ ใครควรจะยุติ พร้อมเตือนให้ประชาชนการ์ดอย่าตก การป้องกันสำคัญเสมอ งดปาร์ตี้สังสรรค์ในช่วงนี้
และได้มีบทความที่ถูกแชร์ต่อกันในโลกออนไลน์ จากเพจเฟซบุ๊ก วันนี้ชั้นติ่งอะไร โดยมีบางช่วง บางตอน เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ ระบุไว้ว่า
“ล่มสลายของเราไม่เท่ากัน เกิดอะไรขึ้นกับห้องฉุกเฉินในกรุงเทพฯ เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย หลายปีก่อนเกิดการระเบิดขึ้นในกรุงเทพฯ วันนั้นเราเป็นชีฟเวรห้องฉุกเฉิน ได้รับคำสั่งให้ทำการเคลียร์เตียงเพื่อรองรับผู้บาดเจ็บจำนวนมหาศาล เราหันไปมองรอบตัว คนไข้จากทั่วสารทิศนอนกองเรียงรายเต็มทางเดิน เป็นเวลานานมากแล้ว ที่ระบบสาธารณสุขของ กทม. หมิ่นเหม่ “ล่มสลาย” เตียงเต็มตลอดเวลา ผู้ป่วยจึงคาอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน นอนเรียงรายกันไป แต่เราก็ประคับประคอง ทำทุกทางเท่าที่เราทำได้
หลายปีผ่านไป เรื่องเหล่านี้กลายเป็นกิจวัตรที่ดูธรรมดา มีผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดนอนรอเตียงในห้องฉุกเฉินถึง 20 วัน กระทั่งหายป่วยกลับบ้านได้โดยไม่เคยขึ้นไปถึงหอผู้ป่วยเลย
เคยมีคนจมน้ำถึงขั้นปั๊มหัวใจ แต่ก็ใส่ท่อนอนรอเตียง กระทั่งเอาท่อออก กระทั่งได้กลับบ้านและนัดมากายภาพ โดยไม่เคยขึ้นไปถึงหอผู้ป่วยเลย เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปกติธรรมดา แต่เป็นเรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นความธรรมดาไป หลายปีผ่านไป สิ่งเหล่านั้นยังเหมือนเดิม ในวันนั้นเราทำการถอดออกซิเจนออกจากคนไข้บางคน เพื่อเอามาให้อีกบางคน
เดือนกว่าที่ผ่านมา เกิดคลัสเตอร์การระบาดรอบใหม่ในกรุงเทพฯ ช่วงแรกเราเฝ้ารอ รอดูว่ากรุงเทพฯเตรียมพร้อมไว้อย่างไร ตลอดปีกว่าที่ผ่านมา เราและด่านหน้าตามแนวชายแดนทำงานหนักสกัดโรคไว้ ไม่ว่าจะเกิดกี่คลัสเตอร์ ก็พยายามดักจับ ตีวง จบคลัสเตอร์เหล่านั้นลงให้จงได้ และภูมิใจว่า ตนเป็นปราการด่านสำคัญ ปกป้องศูนย์กลางของประเทศ อุ้มชูเศรษฐกิจให้เดินหน้า หวังเพียงว่า
ส่วนกลางจะใช้เวลาที่ซื้อให้นี้เตรียมพร้อมสู้ศึกใหญ่ แต่กรุงเทพฯกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ยังคงอ่อนแอเปราะบางเหมือนอย่างวันนั้น ห้องฉุกเฉินยังคงเต็มไปด้วยผู้คนคราคร่ำ นอนแออัดกัน รอการรักษาอย่างที่ไม่ควรจะเป็น หลังเห็นตัวเลขที่ค่อยๆ ไต่ขึ้น เราต่อสายหาเพื่อนที่ห้องฉุกเฉินใน รพ.ตู้ซ่อนผีของกรุงเทพฯ
เราหวังจะพบคำตอบจากเพื่อนที่ปกติสดใสพูดมาก ทำนองว่า เฮ้ย หนักมาก พลางบ่นกะปอดกะแปดหาที่ระบาย แต่ปลายสายกลับเงียบไป ก่อนจะตอบกลับมา ด้วยเสียงร้องไห้ เราปล่อยให้ร้องไปแบบนั้นอยู่พักหนึ่ง จำนวนผู้ป่วยทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าตกใจคือจำนวนผู้ป่วยระดับเหลืองและแดงที่มากกว่ารอบก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้ การมีโรงพยาบาลสนาม อาจพอช่วยผู้ป่วยสีเขียว ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และรักษาทันเมื่ออาการทรุดลงได้ แต่ส่วนมากไม่สามารถดูแลเคสสีเหลือง ซึ่งต้องการออกซิเจนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเคสสีแดงระดับวิกฤต ที่ต้องการเครื่องช่วยหายใจ และการดูแลยังใกล้ชิดระดับ ICU เมื่อเตียงเต็ม ผู้ป่วยสีเขียวอาจพอกลับบ้านได้ แต่ผู้ป่วยสีเหลืองหรือแดง ไม่อาจไปไหนได้ จึงค้างอยู่ในห้องฉุกเฉินจนกว่าจะจากกันไปด้วยวิธีแตกต่างกัน
เพื่อนเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น “เราก็เลือกเอา บางทีเราก็เลือกไม่เอาคนแก่ติดเตียง เอาให้เด็ก”
เงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “แล้วเค้าก็ไป”
หลายเดือนมาแล้ว ที่หมอตัวเล็กตัวน้อยรวมถึงเรา (ในชีวิตจริง) พยายามส่งเสียง ให้ผู้ใหญ่หลายฝ่ายได้รับทราบ กรุงเทพฯไม่เคยเข้มแข็ง แต่เป็นพื้นที่เปราะบาง กระทบเพียงนิดเดียวก็พร้อมแตกสลาย และเมื่อใดกรุงเทพฯพัง เมื่อนั้นผู้คนจะแตกกระจาย มุ่งหน้าหาทางรอดชีวิต เมื่อนั้นโรงพยาบาลทั่วทิศ จะพบกับความวิบัติแตกต่างกันไป แต่ก็เหมือนหมอหลายๆ คน ที่เป็นแค่คนตัวเล็กตัวน้อยไม่มีค่าอะไร ไม่ว่าจะส่งเสียงทางช่องทางไหน ถ้าไม่ใช่ว่าไร้คนสนใจ ก็จะโดนปิดปาก และตักเตือนในระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันอยู่เสมอ
เรารับราชการ เข้าใจวัฒนธรรมองค์กรนี้ดี หน้าตาสำคัญกว่าอะไร เน้นเก็บใต้พรม มีอะไรห้ามพูดมาก เแต่วิธีการแบบนั้นมันคือ “การหลอกตัวเอง” หลอกคนอื่น หลอกประชาชน
เราทำไม่ได้ตลอดไป ถึงเวลาแล้ว หรือจริงๆ ควรใช้คำว่ามันสายไปนานแล้ว ที่จะยอมรับว่า ประเมินสถานการณ์ผิด เตรียมตัวน้อย บริหารงานไม่เป็น เอาแต่ทำอะไรไร้สาระ ปล่อยให้ประชาชนล้มตาย แต่ก็คงดีกว่าถ้าจะไม่ทำอะไร และมองดูประเทศชาติ (ในหลายๆ ความหมาย) ล่มสลายไปกับตา
ขณะที่เสียงจากนายแพทย์ใหญ่ ในโรงพยาบาลแถวหน้าของเมืองไทย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กรุงเทพฯ ใกล้ถึงจุดวิกฤตเต็มที เตียงไม่พอรองรับคนไข้ เพราะยอดติดเชื้อไม่มีแนวโน้มจะลดลง ท่ามกลางกระแสที่ต้องรอลุ้นคำสั่งจาก ศบค. ว่าจะมีการล็อกดาวน์ กทม.หรือไม่...
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก ก็คือ กลุ่มม็อบไทยไม่ทน นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ และกลุ่มทนายนกเขา ประกาศจะออกมารวมตัวกันอีกในวันพรุ่งนี้ (26 มิ.ย.) เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่กำลังตึงเครียด และเกิดวิกฤตเตียงล้นไอซียูในหลายๆ โรงพยาบาล โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและทีมแพทย์ ก็ยังน่าจับตามองว่า จะเป็น “คลัสเตอร์ใหม่” อีกหรือไม่
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH ได้โพสต์ประเด็น “คลัสเตอร์ม็อบมาแน่!? เปิดภาพ “แก๊งสามกีบ” นั่งล้อมวงซดเบียร์ เปิดหน้ากาก ไม่เว้นระยะห่าง ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน อยู่เหนือกฎหมาย!?
#แก๊งสามกีบ #ล้อมวงซดเบียร์ #ไม่สวมหน้ากาก”
เนื้อหาระบุว่า จากกรณีที่เมื่อวานนี้ (24 มิถุนายน 2564) ทางกลุ่มคณะราษฎร ได้ประกาศรวมพลเพื่อเคลื่อนขบวนไปยังสกายวอล์กแยกปทุมวัน ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมในเวลา 17.00 น. โดยเดินทางกลับเส้นทางเดิม ในเวลา 19.20 น. เวทีปราศรัยสกายวอล์กแยกปทุมวัน พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง และ ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ สลับขึ้นเวที
โดย นายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎรขึ้นปราศรัย วิพากษ์การทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการใช้งบประมาณ พร้อมเรียกร้องให้ลาออกนายกรัฐมนตรี รวมทั้งยืนยันข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่เคยชุมนุมตั้งแต่ปี 2563 ประกาศพร้อมที่จะอยู่เรือนจำ และจะต่อสู้ร่วมกับประชาชน จนกระทั่งเวลา 20.32 น. แกนนำกลุ่มราษฎร ประกาศยุติการชุมนุมบริเวณสกายวอล์ก
อย่างไรก็ตาม ก็ได้ปรากฏภาพ มวลชนที่เข้ามาร่วมกับม็อบสามนิ้ว ได้พากันนั่นดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บริเวณสกายวอล์ก และไม่สวมหน้ากากอนามัย โดยทาง เจ้จุก คลองสาม ได้เผยแพร่ภาพพร้อมข้อความระบุว่า
กทม. ห้ามนั่งดื่มสุราในร้าน แล้วไง? พวกกูสามกีบคืออภิสิทธิ์ชนคนเหนือกฎหมาย กูนั่งกินเบียร์ เปิดหน้ากาก ใกล้ชิดกับเพื่อนกู ใครจะทำไม นี่เพื่อนฝรั่งกู กูไม่รักชาติ มันก็ไม่รักประเทศนี้อยู่แล้ว อยากทำไรพวกกูก็จะทำ มีไรป่ะ?
แน่นอน, ประเด็นที่ต้องการสื่อให้เห็น ก็คือ ภาพสองภาพที่สะท้อนต่างกัน ภาพหนึ่ง บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข กำลังทุกข์ใจอย่างหนัก ที่ต้องรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกแล้วระลอกเล่า รอบแล้วรอบเล่า คลัสเตอร์เก่ากำลังจะหมด คลัสเตอร์ใหม่ก็ตามมาอีก
ทั้งยังเป็นการรับมือด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ ที่เต็มกำลังแล้ว ต้องฝืนใจเลือกให้ใครอยู่รอด ใครจากไปต่อหน้าต่อตา และต่อจรรยาบรรณแพทย์ ซึ่งมีหน้าที่ช่วยชีวิต
เกิดจากความไม่รู้ไม่เท่าไหร่ แต่เกิดจากที่รู้อยู่แก่ใจ แต่จงใจเสี่ยง หรือ จงใจละเมิดกฎหมาย จงใจท้าทายมาตรการของรัฐ โดยไม่รับผิดชอบต่อสังคม และประชาชน นี่สิ มันน่าเสียบประจาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มม็อบต่างๆ ที่อวดอ้างใหญ่โตว่าต่อสู้เพื่อประชาชน รักประชาชน อยู่ฝ่ายประชาชนอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ธาตุแท้ที่แสดงออก ไม่เคยห่วงใยสังคมและประชาชนเลยแม้แต่น้อย เพราะรู้ทั้งรู้ว่า การชุมนุมไม่มีทางรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยได้ การดันทุรังม็อบฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคระบาด เป็นตัวการแพร่เชื้อไปสู่ครอบครัว และสังคม อย่างที่พูดได้เต็มปากว่า เป็นพวกไม่รับผิดชอบต่อสังคม แล้วจะต่อสู้เพื่อประชาชนได้อย่างไร???
ประเด็นก็คือ “ม็อบ” เมื่อไหร่ก็ได้ ประชาชนพร้อมที่จะรับฟังความเห็น ข้อเสนอ แต่ “ความตาย” จากโควิด-19 ของประชาชนถ้าหากแพร่เชื้อมันอยู่ตรงหน้า ยังเลือกที่จะม็อบ
คิดดูก็แล้วกัน ว่า พวกเขาร้อนรนไปเพื่อใคร ในเมื่อไม่ใช่เพื่อประชาชนอย่างที่กล่าวแล้ว