เมืองไทย 360 องศา
ก็เป็นไปตามคาดหมายที่ว่าเวลานี้สถานการณ์พลิกกลับจากเดิมที่เคย “เหยียดวัคซีน” ไม่อยากฉีด อยากฉีดวัคซีนของชาติตะวันตก บางยี่ห้อ เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์นา และ จอห์นสันแอนด์จอห์สัน ขณะที่ยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้า แม้ว่าจะเป็นของตะวันตกสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน วิจัยโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดก็ตาม แต่ก็มีบางพวกที่มีเจตนาทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็กล่าวหาในทางเสียหาย จากกรณีที่บริษัท แอสตร้าฯ จ้างบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ผลิตเพราะเห็นถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยี และมีโอกาสสร้างความมั่นคงในประเทศ แต่ก็ยังมีกลุ่มเบี่ยงเบนไปอีกทาง รวมไปถึงการ “เหยียด” วัคซีนยี่ห้อ “ซิโนแวค” ของจีน ที่รัฐบาลนำเข้ามาอีกยี่ห้อหนึ่งว่าด้อยคุณภาพ
แน่นอนว่า จากเริ่มต้นที่พวกต่อต้านรัฐบาล และ “เกลียด” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามยุแยง บิดเบือนข้อมูล ปั่น “เฟกนิวส์” จนทำให้ในช่วงแรกๆ ไม่มีใครอยากฉีดวัคซีน จนกระทั่งมีการชี้แจงยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมมีการอ้างอิงผลการวิจัย ตรวจสอบประสิทธิภาพของวัคซีนสองยี่ห้อ คือ แอสตร้าฯ และ ซิโนแวค ว่ามีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิต้านทาน และมีผลข้างเคียงในระดับที่เป็นอันตรายน้อยมาก
ประกอบอัตราการระบาดในรอบล่าสุดในประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็ว จาก “ไวรัสกลายพันธุ์” ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงลิ่ว ก็ทำให้เกิดความกลัวและหันกลับมาต้องการฉีดวัคซีน กันเป็นจำนวนมาก
ความสับสนวุ่นวายก็เกิดขึ้นทันทีเมื่อกระแสความต้องการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนวัคซีนที่อยู่ในมือมีจำนวนจำกัด บวกกับกระแสโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ฝ่ายไม่ชอบ “ลุงตู่” ที่กำลังสร้างกระแสไล่รายวัน โหมกระหน่ำหนักมือยิ่งขึ้นไปอีก ประกอบกับการแพร่ระบาดที่ยังควบคุมไม่อยู่ เกิด “คลัสเตอร์” ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ยิ่งทำให้เกิดความเครียด
และที่สำคัญที่สุดก็คือ การชี้แจงจากฝ่ายรัฐยังทำได้ไม่ดีพอ ไม่ชัดเจนพอ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากหลายคนที่ออกมาพูด มาให้ข้อมูล บางครั้งพูดไปทั้งที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันกลายเป็น “วัคซีนการเมือง” ไปแล้ว โดยเฉพาะจากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ที่พยายามใช้สถานการณ์ และการฉีดวัคซีนมาหาคะแนนนิยมให้กับพรรคของตัวเอง และรัฐมนตรีในสังกัดพรรคของตัวเอง ดังที่เห็นกันอยู่
ล่าสุด ก็มาถึงกรณีการสั่ง “ชะลอ” การลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนโควิด ผ่านระบบ “หมอพร้อม” ของกระทรวงสาธารณสุข ออกไปก่อน พร้อมกับการจัดสรรวัคซีนที่จัดให้กับจังหวัดต่างๆ กันใหม่ โดยนำมาให้กับจังหวัดหรือพื้นที่ที่มีการระบาดหนัก หรือ“พื้นที่สีแดง”ก่อน จากนั้นค่อยกระจายกันไป ตามกลุ่มอาชีพ ที่มีผลต่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และกลุ่มที่ประกอบอาชีพที่เป็นด่านหน้ามีความเสี่ยง จากนั้นค่อยฉีดให้กับบุคคลทั่วไป
แต่เชื่อว่า ทุกอย่างก็คือ เวลานี้ “วัคซีนมีจำกัด” รวมไปถึงยังไม่มีความชัดเจนว่า วัคซีนของ “แอสตร้าฯ” จะมาวันที่ 7 มิถุนายน แน่หรือเปล่า เพราะล่าสุดยังไม่มีใครยืนยันชัดเจนว่าเป็นไปตามนั้น หรือเปล่า แม้แต่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ก่อนหน้านี้ ระบุเพียงแค่ว่าทุกอย่างยังเป็นไปตามกำหนด และยังตอบไม่เต็มเสียงเมื่อถูกถามว่า วัคซีนล็อตแรกจำนวน 6 ล้านโดส จะมาในวันที่ 7 มิถุนายน หรือไม่
จากความไม่ชัดเจนดังกล่าว รวมไปถึงการที่มี “คนพูด” หลายคน อีกทั้งคนที่มีหน้าที่สื่อสารก็ยังไม่สร้างความเข้าใจให้กับสังคมได้ชัดเจน จนไม่รู้ว่าปัญหามันเกิดจากอะไรกันแน่ เพราะในยุคของการสื่อสารโซเชียลฯ ที่ทุกคนมีสื่ออยู่ในมือ หากทุกอย่างไม่ “เคลียร์” ชัดมันก็ยิ่งมีโอกาสสร้างความสับสน และสร้างภาพลบให้กับฝ่ายรัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามความเป็นจริงก็น่าจะยอมรับกันได้ว่า การสั่งชะลอแอปฯ “หมอพร้อม” ที่เริ่มจากการเปิดให้ “ผู้สูงอายุ” และผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่ม ลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนก่อน โดยมีเป้าหมายจำนวน 16 ล้านคน แต่หากพิจารณาจากตัวเลขยังห่างไกล เพราะยอดการลงทะเบียน ยังไม่ถึง 8 ล้านคน ทำให้เหลือโควตาวัคซีนที่จัดสรรเอาไว้จำนวนมาก และควรนำมาฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่การระบาดเป็นการเร่งด่วนก่อน ซึ่ง ศบค. น่าจะเป็นคนแถลงว่าจะจัดสรรให้พื้นที่ไหนบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร ชี้แจงให้ชัดเจน ให้เข้าใจง่าย ส่วนใครที่ลงทะเบียดนัดวันฉีดไปแล้ว ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามเดิม
เอาเป็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากวัคซีนในช่วงแรกยังมีจำนวนจำกัด และเราไม่ได้มีบริษัทผลิตวัคซีนเองในประเทศเหมือนกับประเทศมหาอำนาจในตะวันตก ขณะที่กระแสเปลี่ยนไปจากไม่อยากฉีด มาเป็นแย่งกันฉีด อีกทั้งการนำเข้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่มีเงินซื้อแล้วจะนำเข้ามาได้ แต่ทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยการชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจน ขณะที่ฝ่ายการเมืองก็ควรลดนำเรื่องวัคซีนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะมันน่าเกลียด !!