เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่านาทีนี้ถือว่าน่าหนักใจมากกับยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งรายใหม่และยอดสะสม รวมไปถึงตัวเลขผู้เสียชีวิตในแต่ละวันในช่วงสัปดาห์นี้ ที่ถือว่า “พุ่งสูง” จนทำสถิติใหม่ที่ไม่น่าภูมิใจเป็นรายวัน โดยเฉพาะในพื้นที่กลางเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
ที่กำลังมาแรงแซงทุกโค้งในเวลานี้ ก็คือ “การระบาดในเรือนจำ” ทั่วประเทศ
จากการแถลงล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,635 ราย โดยแบ่งเป็นติดเชื้อใหม่ 2,782 ราย จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 6,853 ราย พบผู้ป่วยยืนยันสะสม 111,082 ราย รักษาหายป่วยเพิ่ม 1,397 ราย สะสม 67,200 ราย กำลังรักษาอยู่ 43,268 ราย แบ่งเป็นรักษาในรพ. 22,662 ราย และ รพ.สนาม 20,606 ราย เป็นผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มเป็น 1,226 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 400 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 25 ราย รวมเสียชีวิต 614 คน
ผู้ติดเชื้อรายใหม่แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 9,635 ราย เป็นผู้ติดเชื้อจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 1,820 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 953 ราย จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 6,853 ราย และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเข้า State Quarantine 9 ราย
10 อันดับ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ วันที่ 17 พ.ค. 64 คือ 1. กรุงเทพฯ 1,843 ราย 2. สมุทรปราการ 155 ราย 3. ปทุมธานี 146 ราย 4. นนทบุรี 129 ราย 5. สมุทรสาคร 53 ราย 6. ชลบุรี 45 ราย 7. สงขลา 42 ราย 8. เพชบุรี 39 ราย 9. นครปฐม 36 ราย 10. พระนครศรีอยุธยา 31 ราย
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาตัวเลขผู้ติดเชื้อในเรือนจำ โดยแยกออกมาแต่ละแห่งทั่วประเทศก็ยิ่งทำให้น่าตระหนกตกใจมากขึ้นไปอีก โดยแบ่งใน กรุงเทพฯ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, ทัณฑสถานหญิงกลาง, เรือนจำกลางคลองเปรม, เรือนจำพิเศษธนบุรี, ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง จำนวนที่ตรวจ 14,429 ราย พบผู้ติดเชื้อ 6,749 คิดเป็นร้อยละ 47 จากจำนวนคัดกรอง
จ.นนทบุรี เรือนจำ-ที่ต้องขัง จ.นนทบุรี จำนวนที่ตรวจ 2,661 ราย พบผู้ติดเชื้อ 48 ราย รอรายงานผล 2,214 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 จากจำนวนคัดกรอง
จ.ฉะเชิงเทรา เรือนจำ-ที่ต้องขัง จ.ฉะเชิงเทรา จำนวนที่ตรวจ 798 พบผู้ติดเชื้อ 22 ราย รอรายงานผล 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 จากจำนวนคัดกรอง
จ.เชียงใหม่ เรือนจำ-ที่ต้องขัง จ.เชียงใหม่ จำนวนที่ตรวจ 6,469 ราย พบผู้ติดเชื้อ 3,929 ราย คิดเป็นร้อยละ 61 จากจำนวนคัดกรอง
โดยจำนวนผู้ติดเชื้อในเรือนจำและสถานที่ต้องขังรวม 8 แห่ง ระหว่างวันที่ 1-16 พ.ค. จำนวนตรวจ 24,357 ราย พบผู้ติดเชื้อ 10,748 ราย รอรายงานผล 2,235 คิดเป็นร้อยละ 49 จากจำนวนคัดกรอง
เอาเป็นว่า จากจำนวนผู้ต้องขังที่ได้รับการตรวจเชื้อ จะพบว่ามีสัดส่วนติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 49 ถือว่า “หนัก” ทีเดียว และยออดผู้ติดเชื้อจากเรือนจำในรอบ 2-3 วันที่ผ่านมา เมื่อนำมารวมกับตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันตัวเลขจึง “พุ่งสูงปรี๊ด” ถึง 9,636 ราย เกือบหมื่นราย
แม้จะพยายามอธิบายว่าพื้นที่ในเรือนจำเป็นพื้นที่ปิด สามารถควบคุมการระบาดได้ รวมไปถึงการตรวจค้นหาแบบเชิงรุก ทำให้ทราบตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก แต่ขณะเดียวกัน ก็มีคำถามถึงมาตรการในการ “ควบคุม” ว่า ได้มาตรฐานมากน้อยแค่ไหน เพราะเมื่อพิจารณาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงทุกวันนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแต่แนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อรวมเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ต้องขังที่เข้ารับการคัดกรองตรวจเชื้อ
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องตำหนิก็คือ ผู้บริหารทั้งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ รวมไปถึงผู้บัญชาการเรือนจำต่างๆ ที่ไม่มีมาตรฐานในการควบคุมที่เข้มงวดพอ หรือไม่มีมาตรการในแยกตัวผู้ติดเชื้อได้เด็ดขาดและมาตรฐาน เพราะจากการแถลงยอมรับจากผู้บัญชาการเรือนจำจ.เชียงใหม่ ที่มีผู้ต้องขังติดเชื้อเกือบครึ่งหนึ่งกว่า 3 พันคน ที่รับการตรวจเชื้อยอมรับในเชิงว่า “หละหลวม” ที่ปล่อยให้มีการ “ร่วมทำกิจกรรม” ระหว่างผู้ต้องขังในระหว่างแดน
จากรายงานตัวเลขดังกล่าวอย่าได้แปลกใจที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเรียกนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมทั้งทีมแพทย์ที่เกี่ยวข้อง หารือเป็นการด่วนเพื่อปรับกระบวนยุทธ และเพิ่มความคุมเข้มในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะต้องรีบควบคุมการแพร่ระบาดในเรือนจำ และในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้ได้โดยเร็วที่สุด
แม้ว่าพิจารณาตามรูปการณ์แล้วในการระบาดรอบนี้ ทางรัฐบาลจะใช้วิธีควบคุมเข้มงวด แต่จะ “ไม่ล็อกดาวน์” เหมือนกับครั้งแรก เนื่องจากเกรงจะเกิดความเสียหายจนประชาชนทนไม่ไหว โดยจะประวิงเวลายื้อไปจนกว่ามีการระดมฉีดวัคซีน เพื่อให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป
ดังนั้น นาทีนี้ความหวังจึงอยู่ที่ “วัคซีน” เพียงอย่างเดียว !!