เมืองไทย 360 องศา
การประกาศให้ “วัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อสองวันที่ผ่านมา ถือว่าน่าจับตาไม่น้อย ในท่ามกลางเสียงโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามรอบทิศทาง โดยเฉพาะเป้าหมายที่กระหน่ำตอกย้ำให้เห็นทั้งเรื่อง “การผูกขาด” ความล่าช้า มีจำนวนน้อย และที่สำคัญก็คือ “ไม่มีประสิทธิภาพ” น่าเชื่อถือ เมื่อเทียบกับวัคซีนจากประเทศตะวันตกบางประเทศ เป็นต้น
ขณะที่บางคน บางกลุ่มการเมืองที่มีเจตนา “ซ่อนเร้น” นั่นคือ มีเป้าหมาย “กระทบชิ่ง” ไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ จากกรณีถือหุ้นบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่มีสัญญาผลิตวัคซีนของ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า บริษัทร่วมทุนระหว่างอังกฤษและสวีเดน ที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แน่นอนว่า แรงกระหน่ำจากรอบทิศทางดังกล่าวในช่วงแรกๆ ก็ส่งผลให้รัฐบาลโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกอาการเซถลาไปเหมือนกัน เพราะเที่ยวนี้เป็นการระบาดระลอกที่ 3 ที่หนักหน่วงรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่ม และยอดผู้เสียชีวิตรายวันที่เพิ่มทำสถิติใหม่ ทำให้เกิดความตื่นตระหนก และเกิดความเดือดร้อนจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจปากท้องอย่างแสนสาหัสกว่าทุกครั้ง
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รวบอำนาจการบริหารสั่งการที่เคยผ่านรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ มาไว้ในมือชั่วคราว เพื่อความรวดเร็ว คล่องตัว ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมองว่าการรวบอำนาจดังกล่าวเหมือนกับการ “เดิมพัน” ทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเช่นกัน แม้ว่าลักษณะการรวบอำนาจแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงการระบาดรอบแรก แต่คราวนี้ถือว่า “สาหัส” กว่า ทั้งจากตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะ “เชื้อที่กลายพันธุ์” มีการติดเชื้อได้ง่าย และรุนแรงกว่าเดิมมาก
อีกทั้งอย่างที่รู้กัน ก็คือ ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ยังเป็นช่วงที่มีเงื่อนไขของฝ่ายตรงข้ามในการทำกิจกรรม “ถล่มลุงตู่” แทบตลอดทั้งเดือนเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการสลายคนเสื้อแดง ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม วันครบรอบการรัฐประหาร มันก็เป็นเงื่อนไขของฝ่ายตรงข้ามที่ใช้เป็นเงื่อนไขโจมตี แม้ว่าหากพิจารณาจากสถานการณ์ และบรรยากาศ อารมณ์ของสังคมในเวลานี้ “ยังไม่ได้” อีกทั้งด้วยสถานการณ์การระบาดที่กำลังอยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมเคร่งครัด มันก็คงเคลื่อนไหวได้ลำบากเหมือนกัน
แต่ที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนต่อเนื่องมาจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่มี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นแกนหลักได้ออกมาเคลื่อนไหวแบบ “โหมโจมตี” อย่างหนักหน่วง ส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุมาจากการ “เผยจุดอ่อน” ของฝ่ายอำนาจปัจจุบันออกมาให้เห็น ไม่เว้นแม้แต่กรณีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จากคดียาเสพติดที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อหลายปีก่อน ถูกกระหน่ำในเรื่อง “จริยธรรม” ทำลายภาพลักษณ์ ทุกอย่างจึงประดังเข้ามา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ในภาวะทรงตัว มีการระดมตรวจเชิงรุกในพื้นที่สีแดง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จนมั่นใจมากขึ้นว่าน่าจะควบคุมได้ในไม่ช้า ประกอบกับอีกไม่กี่วันข้างหน้า วัคซีนทั้งที่ผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จะมีการส่งมอบล็อตแรก ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป หรือมีรายงานว่าอาจะเร่งส่งมอบให้ก่อนภายในเดือนนี้เลย รวมไปถึงวัคซีนที่นำเข้ามาจากจีนในเดือนนี้ รวมแล้วอีกประมาณเกือบสองล้านโดส ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้ง
จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มั่นใจโดยเฉพาะในเรื่อง “วัคซีน” นั่นคือ การประกาศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ซึ่งมีทั้งรายละเอียดที่ครอบคลุมในทุกด้าน ทั้งการระดม กระจายฉีดให้กับคนไทยและชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศนี้ครบทุกคน การจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้ได้จำนวน 150-180 ล้านโดส และมีการสำรองให้มากที่สุด พร้อมทั้งประกาศวิสัยทัศน์ให้ไทยเป็นแหล่งผลิตและกระจายวัคซีนในภูมิภาคนี้
แน่นอนว่า เรื่องวัคซีนกลายเป็นความหวังสำหรับการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมาใหม่อีกครั้ง หลังจากที่คนไทยทุกคนได้รับการฉีดจนเกิดลักษณะที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” ทุกอย่างก็กลับมาขับเคลื่อนตามปกติได้อีกครั้ง
ดังนั้น ถือว่า “วัคซีน” เป็นเดิมพันสำคัญทั้งของประเทศไทย โดยเฉพาะเดิมพันของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อย่างไรก็ดี การประกาศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ก็ต้องถือว่ามีความมั่นใจแล้วเริ่มควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้ง โดยเฉพาะหากสามารถระดมฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย และกระจายได้อย่างครอบคลุมเพียงพอ ซึ่งตั้งแต่ปลายเดือนนี้เป็นต้นไปก็น่าจะได้เห็นจุดพลิกผันได้ชัดเจนว่าจะออกหัวหรือก้อยกันแน่ !!