พฤษภาฯ นาทีทอง ถล่ม “ลุงตู่” จมดิน !?

เมืองไทย 360 องศา

อย่าได้แปลกใจที่จะเห็นการเคลื่อนไหวที่มาในหลายรูปแบบ แต่เป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การ “รุมถล่ม” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งในแบบ “เดี่ยว” หรือแบบ “สาม ป.” ที่พ่วงเอา “พีใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

อย่างที่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่า ทำไมต้องเป็น “เดือนพฤษภาคม” เพราะสามารถใช้เป็น “เงื่อนไข” ในการเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่อง “ตลอดทั้งเดือน” ทั้งในแบบย่อยๆ และเป็นเคมเปญใหญ่ก็ยังได้

หากพลิกตามปฏิทินประจำเดือนก็จะพบว่า คร่าวๆ เริ่มจากกิจกรรม “ปั่น” ของพวก “สามนิ้ว” ในโลกโซเชียลฯ แม้ว่ากลุ่มนี้กระแสจะ “ฝ่อ” ลงในระดับที่ไม่อาจสร้างกระแสในวงกว้างมาพักใหญ่แล้ว แต่อย่างน้อยในกลุ่มสมาชิกเดิมๆ ก็ยังหากินได้อยู่ ยังสามารถ “ด่าศาล” รัฐบาล รวมไปถึงการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” คนพวกนี้ก็ยังดำเนินการกันอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะในเดือน “พฤษภาคม” ในทางการเมืองนั้น มีความหมายและเป็น “เงื่อนไข” สำหรับการชุมนุมของหลายกลุ่มการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการรำลึกการสลายการชุมนุม “คนเสื้อแดง” เมื่อปี 53 เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” เมื่อปี 35 และสำคัญเตรียมรับมือกัน ก็คือ เหตุการณ์ “รัฐประหาร” เมื่อปี 57 ในวันที่ 22 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้

แม้ว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะมีการเคลื่อนไหวกันทุกปีอยู่แล้ว บางปีอาจจะมีบรรยากาศที่ตึงเครียดมากกว่านี้ ก็ยังเคยมี อย่างในปีที่แล้ว ที่ยังถือว่า “กลุ่มม็อบสามนิ้ว” ยัง “ขึ้นหม้อ” แต่ก็ผ่านมาแล้ว

สำหรับปีนี้ บรรยากาศอาจจะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิม หากพิจารณาจากข้อสังเกตก็จะพบว่า มีการเคลื่อนไหวหลากหลายกลุ่มที่ร่วมมือกันในแบบ “รวมการเฉพาะกิจ”

แต่ที่พิเศษไปกว่าเมื่อก่อนหน้า ก็คือ จะเป็นกลุ่มในเครือข่าย “สายตรง” ของ “โทนี่แม้ว” นายทักษิณ ชินวัตร ที่ออกหน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวนายทักษิณ ที่ระยะหลังโผล่หน้าออกมาถี่ยิบผิดสังเกต รวมไปถึง“เครือข่าย”ทั้งในชื่อ“กลุ่มแคร์”กลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังเหลืออยู่ หรือแม้แต่ “กลุ่มไทยไม่ทน” ที่มี นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นแกนเคลื่อนไหวกันทุกสัปดาห์

ขณะเดียวกัน ยังมีพรรคการเมืองในเครือข่าย ที่มีทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล รวมไปถึงกลุ่ม “ก้าวหน้า” ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคลื่อนไหวแบบ “หนักมือ” มากขึ้นกว่าเดิม

แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวในแบบ “รุมถล่ม” เป้าหมายหลักก็ย่อมพุ่งไปที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าจะพยายามพ่วง "พี่น้อง 3 ป." มาด้วยก็ตาม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะในช่วงนี้อาจมองว่า“มีเงื่อนไข”มากกว่าเดิมนอกเหนือจากเป็นช่วงเดือน“พฤษภาฯ”แล้ว ที่ทำกิจกรรมกันมาทุกปี แต่ยังเป็นช่วงที่ โควิด-19 ระลอกใหม่โหมเข้ามาพอดี และคราวนี้หนักหนาสาหัสกว่าคราวก่อน จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่ก็ทำให้รัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ใน ภาวะถูกกดดันอย่างหนัก

โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กำลังระบาดหนักที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า เป็นผลมาจาก “เชื้อกลายพันธุ์” สายพันธุ์อังกฤษ และด้วยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ทะลุหลักสองพันคนต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ ขณะที่มียอดผู้เสียชีวิตทุบสถิติถึงสามร้อยกว่าราย โดยตัวเลขล่าสุดก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้เกิดความตื่นตระหนกเป็นวงกว้าง

 ทำให้มีการตั้งข้อสังเกต และตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่อง “วัคซีน” จนกลายมาเป็นเงื่อนไขหลักอีกอย่างหนึ่งที่ถูกยกมาโจมตีรัฐบาลในเรื่องของความล่าช้า และ “ผูกขาด”

อย่างไรก็ดี หากมองในมุมของฝ่ายค้านก็พอเข้าใจได้ เพราะต้องใช้ช่วงเวลาแบบนี้เพิ่มแรงกระหน่ำตีให้หนัก เนื่องจากเชื่อว่าเมื่อผ่านช่วงเดือนพฤษภาคมไปแล้ว ปัญหาเรื่อง“วัคซีน”น่าจะคลี่คลาย จากการที่วัคซีนของ บริษัทแอสตราเซเนกา ที่จ้างให้ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ผลิตในไทยที่จะทยอยออกมาล็อตใหญ่ในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป รวมไปถึงวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ที่รัฐบาลสั่งซื้อเพิ่มเติมก็จะทยอยเข้ามา ซึ่งภายในสิ้นปีนี้ จากการคาดการณ์เอาไว้ และการประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ว่าจะมีคนไทยได้รับวัคซีนเข็มแรกที่จะปูพรมฉีดให้คนไทยไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70

ดังนั้น หากบอกว่าช่วงนี้ถือว่า เป็น “ช่วงนาทีทอง” สำหรับฝ่ายตรงข้ามที่ต้องรวมพลังกันแบบรวมการเฉพาะกิจในการถล่มพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ “ทีม 3 ป.” ให้จมดิน อย่างน้อยก็ต้องเอาให้น่วม ให้ช้ำมากที่สุด เพราะหลังจากนี้แม้ว่าจะเจอกับปัญหาใหม่ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ แต่อย่างน้อยเรื่องวิกฤตวัคซีน และปัญหาการระบาดจะต้องเล่นงานให้หนัก

เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะเรื่อง“ความเสื่อม” ที่ประดังเข้ามา มันก็น่าหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน !!