เมืองไทย 360 องศา
จะว่าไปแล้วอีกมุมหนึ่งมันก็น่าเห็นใจพวก “เครือข่ายสามนิ้ว” ทั้งหลายที่ไม่ว่าจะวิพากษ์วิจารณ์ หรือเหยียดหยามคนอื่นในเรื่องใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็มักจบลงในแบบที่ “เข้าตัวเอง” ทุกเรื่อง และหลายครั้งก็กลายเป็นการแสดงความด้อยประสบการณ์ หรือเรียกกันแบบให้สุภาพในแบบที่ว่า “โชว์ไม่ฉลาด” เอาเสียเลย
ล่าสุด เวลานี้กำลังมีกระแสใหม่ที่พลิกกลับมา “อยากฉีดวัคซีน” ให้เร็วที่สุด เพื่อให้ตัวเองลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด หรืออย่างน้อยหากเกิดติดเชื้อไวรัสดังกล่าวขึ้นมา ก็อาจไม่เลวร้ายถึงขั้นวิกฤต ขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนยังสามารถช่วยชาติ นั่นคือ หากมีการฉีดวัคซีนในจำนวนที่กระจายจำนวนมากพอก็จะสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ทำให้สามารถกลับมาทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ตามปกติอีกครั้ง
เพราะจากเดิมก่อนหน้านี้ มีความพยายามโจมตีวัคซีนที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำเข้ามาจากจีน ยี่ห้อ “ซิโนแวค” ทำนองว่าด้อยคุณภาพ เป็นวัคซีน “เจ้าสัว” ไม่มีใครยอมรับ ไม่มีใครฉีด สู้วัคซีนจากประเทศตะวันตกไม่ได้ หรือฉีดแล้วมีผลข้างเคียงเป็นอันตรายสารพัด ขณะที่อีกยี่ห้อหนึ่งแม้จะเป็นของตะวันตกอย่าง “แอสตร้าเซนเนก้า” ของอังกฤษก็ตาม แต่ก็มีบางพวกที่มีเจตนา “กระทบสถาบันฯ” เนื่องจากจ้างให้บริษัท “สยามไบโอไซเอนซ์” เป็นผู้ผลิต ทำนองว่ามีเจตนาผูกขาดไปนั่นอีก
ทั้งที่มีการชี้แจงจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า การที่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ผลิตวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า จะสร้างผลดีในเรื่องการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศและในภูมิภาคในอนาคต อีกทั้งยังสามารถใช้วัคซีนในราคาไม่แพง เนื่องจากเป็นนโยบายในเรื่องไม่แสวงหากำไร
นอกเหนือจากนี้ ยังมีการโจมตีด่าทอต่างๆ นานา เช่น มาช้า ไม่ทันการณ์ เมื่อเทียบกับ “ประเทศสหรัฐฯ” อังกฤษ และชาติตะวันตกทั้งหลาย ที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่เป็นผู้ผลิตวัคซีนเอง รวมไปถึงเป็นประเทศที่ร่ำรวย ซึ่งในความเป็นจริงสำหรับประเทศไทย หากเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย ยกเว้นจีน ที่ผลิตวัคซีนเองแล้ว ถือว่ายังมีปริมาณไล่เลี่ยกัน แต่เชื่อว่า นับจากเดือน “มิถุนายน” เป็นต้นไป ตามสัญญาที่ไทยจะได้รับวัคซีน “แอสตร้าเซเนก้า” ที่ผลิตโดย “สยามไบโอไซเอนซ์” จะทยอยออกมาเป็นล็อตใหญ่ เริ่มล็อตแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม จำนวน 26 ล้านโดส และรอบที่สองอีก 35 ล้านโดส ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงเดือนธันวาคม
นี่ยังไม่นับวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ของตะวันตกที่จะทยอยสั่งซื้อเข้ามา เพื่อให้เป็น “ทางเลือก” ซึ่งรวมๆ แล้ว จะมีวัคซีนจำนวนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านโดส และล่าสุด มีการประกาศสำรองเพิ่มเติมเป็น 150 ล้านโดส หรือมากกว่านั้น เรียกว่าในอนาคตนับตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป หากไม่มีอะไรผิดพลาดประเทศไทยจะมีวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เข้ามา และคนไทยรวมไปถึงคนที่อยู่ในประเทศไทยทุกคนที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะได้รับการฉีดวัคซีนทุกคน เพราะเรื่องวัคซีนกลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศเอาไว้
ขณะเดียวกัน ได้เกิดปรากฏการณ์ “พลิกผัน” ในเรื่องการฉีดวัคซีนหลังจากมีการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ มีผลงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่ไทยนำเข้า และรับจ้างผลิตโดย บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ว่า มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงมาก โดยเฉพาะวัคซีนซีโนแวค ที่ก่อนหน้านี้ถูกเหยียดว่าเป็น “วัคซีนเสิ่นเจิ้น”
อีกทั้งเมื่อบรรดาคนดัง และเหล่าดาราระดับซูเปอร์สตาร์ ต่างไปฉีดวัคซีน หลังจากเข้าเงื่อนไข เช่น อยู่ในพื้นที่เสี่ยง อายุเกิน 60 ปี และมีโรคประจำตัวใน 7 กลุ่มที่กำหนด ต่างออกมายืนยันถึงความปลอดภัย และรณรงค์ให้คนไปฉีดวัคซีนให้มากที่สุด และเร็วที่สุดเพื่อประเทศชาติ เพื่อตัวเองและเพื่อคนที่รัก ทำให้กระแสพลิกกลับจากเดิมที่เคยมีความพยายาม “เหยียด” หรือ “บูลลี่” วัคซีนที่รัฐบาลนำมาฉีดให้ประชาชน แต่เมื่อ “กระแสเปลี่ยน” ไปอย่างฉับพลันแบบนี้ คนกลุ่มเดิมที่เคยออกมา “ด้อยค่า” วัคซีน พยายามโจมตีเพื่อกระทบสถาบันฯ ก็เปลี่ยนแนวทางใหม่
กลายมาเป็นรุม “ด่าดารา” ที่ไปฉีดวัคซีน หาว่าเป็นอภิสิทธิ์ชน เหยียบหัวชาวบ้านบ้าง รับจ้างรีวิวจากรัฐบาลบ้าง สารพัด โดยที่หลงลืมไปว่าทุกคำพูดที่ตัวเองกล่าวหาออกไปนั้น ล้วนย้อนกลับมารัดคอตัวเอง พวกของตัวเองทั้งสิ้น
เพราะเมื่อสำรวจออกมาแล้วเอาเข้าจริงดันมีทั้งดาราในเครือข่ายสามนิ้ว มีพวก ส.ส.ฝ่ายค้าน ตั้งแต่พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ที่ประธานใหญ่ คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวเรือใหญ่ กลับแซงคิวแย่งเหยียบหัวชาวบ้านเป็นรายแรกๆ เสียอีก เคยแม้กระทั่ง “กลืนน้ำลาย” ตัวเองที่เคยพ่นออกมาว่า หากยังมีวัคซีนจำนวนจำกัดก็จะไม่ไปแย่งฉีด ซึ่งตอนนั้น “หล่อมาก” แต่วันรุ่งขึ้นเขากลับไปเข้าคิวรอฉีดเป็นคนแรกๆ หน้าตาเฉย และวัคซีนที่ฉีดก็คือยี่ห้อ “ซิโนแวค” ที่ดูถูกนั่นแหละ และจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีอาการปากเบี้ยว เป็นอัมพาต แต่อย่างใด ตรงกันข้ามยัง “ปากดี” กว่าเดิมอีก
นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องวัคซีน เรื่องเดียวยังโดนเข้าตัวไปเต็มๆ ยังไม่นับเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบที่กล่าวหาคนอื่น แต่กลับกลายเป็นว่า คนในครอบครัวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กลับโดนข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ขณะที่น้องชาย ถูกเปิดโปงว่าติดสินบนเจ้าหน้าที่ในสำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อแลกกับการเข้าไปพัฒนาที่ดินแปลงงาม เป็นต้น
เอาเป็นว่า งานนี้ฝ่าย “สามนิ้ว” ไปไม่เป็นอีกรอบ เพราะตอนแรกพยายาม “ด้อยค่าวัคซีน” เหยียดหยามประเทศ จนถึงขั้นรณรงค์ “ย้ายประเทศ” เพื่อจะไปหาที่อยู่ที่ดีกว่า หรือรับวัคซีนที่ดีกว่า เป็นต้น แต่เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามโดยเฉพาะกรณีดาราแห่กันไปฉีดวัคซีน ก็ยิ่งรู้สึกโกรธ และกดดัน หันมา “รุมด่าดารา” กันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ เพราะไปโดนดาราพวกเดียวกันที่แห่ไปจองฉีดกันไปแล้ว มันถึงได้บอกว่ากระเด้งโดนตัวเองเต็มๆ !!