เมืองไทย 360 องศา
จะว่าไปแล้วสำหรับ “โทนี่” หรือ “แม้ว” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คงรู้สึกผิดหวังอย่างมากกับปฏิกิริยาจากสังคมในประเทศไทย ที่ไม่มีท่าทีตอบรับต่อการเคลื่อนไหวของเขา รวมไปถึงข้อเสนอแนะหลายอย่าง โดยเฉพาะในช่วงภาวะโรคระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ในระลอกแรกต่อเนื่องมาจนถึงระลอกที่สามในปัจจุบัน
เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าในแต่ละช่วงเวลาเขามักจะออกมา “แซะ” วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โจมตีความล้มเหลวในการควบคุมการระบาดของโรค รวมไปถึงชี้ให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของมาตรการเยียวยาของรัฐต่างๆ นานา แต่ก็กลายเป็นว่า ทั้งคำพูดและความเห็นของ เขามัน “ไม่ปัง” หรือสามารถสร้างกระแสชี้นำในวงกว้างได้เลย
แน่นอนว่า จะต้องมีกลุ่มคนที่สนับสนุนหน้าเดิมๆ พรรคการเมืองในเครือข่ายของเขา อย่างพรรคเพื่อไทย หรือกลุ่มการเมือง เช่น “กลุ่มแคร์” ที่เป็นคนกันเอง เป็น “ลูกน้องเก่า” รวมไปถึงสื่อในสังกัดที่รับรู้กันอยู่ ซึ่งคนพวกนี้ย่อมรับลูกนำมาขยายความเพื่อนำมาดิสเครดิตรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่แล้ว
แต่สำหรับ “กระแสในวงกว้าง” แล้ว หากพิจารณากันตามความเป็นจริง และ “ความรู้สึกจริง” แล้วก็ต้องยอมรับกันว่า ความคิดของเขาไม่ได้มีพลังเหลืออยู่เลย โดยเฉพาะในกระแสของคนรุ่นใหม่ แทบจะไม่มีการพูดถึงและรับรู้กันเลย แม้ว่าจะพยายามเร่งเร้าจากฝายสนับสนุนและเครือข่ายอย่างเต็มที่ก็ตาม
เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับยุคที่เขายังรุ่งเรือง ตั้งแต่ในยุคพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย ในปัจจุบัน ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปในแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะ “หมดยุค” หรือตกยุคไปแล้วสำหรับนายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขาในยุคนี้ หรืออาจเป็นเพราะพวกเขา “ห่างเหิน” จากอำนาจรัฐมานาน ก็หากนับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาพร้อมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งแต่ปี 2557 มาจนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว
เด็กรุ่นหลังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ประกอบกับ นายทักษิณ ชินวัตร ในปัจจุบันที่อายุปาเข้าไปถึง 72 ปีแล้ว ทั้งยังต้องหลบหนีคดีทุจริตอยู่ในต่างประเทศมาเป็นเวลานาน จนคนไทยไม่คุ้นชิน ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปโดยที่สามารถสัมผัสความรู้สึกได้ตามนั้นจริงๆ
อย่างไรก็ดี หากให้วิเคราะห์กันถึงสัญญาณที่เห็นได้ชัดเจนขึ้นก็น่าจะเริ่มมาจากการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารจังหวัดเชียงใหม่ ที่คราวนี้เขาต้องลงมาเปิดศึกกับ “ลูกน้อง” ตัวเอง หรือแม้แต่การยืนกันคนข้างกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และแม้ว่าฝ่ายที่เขาหนุนหลังจะได้รับชัยชนะ แต่ก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย และที่สำคัญ เป็นการลดระดับลงมาสู่ “ระดับท้องถิ่น” อีกทั้งถูกมองว่าไม่สมควรลงมาเล่นเองแบบนี้ให้เสียราคา
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันทุกอย่าง ก็คือ เมื่อ “สูงสุดแล้วย่อมคืนสู่สามัญ” เป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น และสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร นาทีนี้ก็กำลังถดถอยลงมาแบบนั้นแล้ว
อย่างที่ได้เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ต้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาต่อเนื่องมา จนถึงปัจจุบัน นายทักษิณ ชินวัตร มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และ “เปิดหน้าเปิดตา” ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนมากขึ้น และถี่ยิบ หากสังเกตจะเริ่มตั้งแต่ความล้มเหลวของ “ม็อบสามนิ้ว” ที่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวเรือใหญ่ เป็นต้นมา เพราะหลังจากนั้น ก็จะได้เห็นบทบาทของเขาออกมาให้เห็นมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในการเขย่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลานี้ เช่น ในกลุ่ม “ไทยไม่ทน” ที่มี นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นแกนนำ เป็นต้น ซึ่งหลายคนจับตามองว่าเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อเนื่อง หลังจากกลุ่ม “สามนิ้ว” ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร หากจะว่าไปแล้วในช่วง “เดือนพฤษภาคม” ถือว่าน่าจะเป็น “เงื่อนไข” สำหรับการถล่ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไปถึงกลุ่มอำนาจ “สาม ป.” ได้ดี โดยเฉพาะจากความหมายในเรื่องของ “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ” ซึ่งที่ผ่านมา ฝ่ายของ นายทักษิณ เคลมอยู่ข้างเดียวว่า พวกเขาเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เพราะเงื่อนไขตั้งแต่เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” การสลายคนเสื้อแดง ต่อเนื่องไปจนถึงการรัฐประหาร คสช. ที่กำลังจะครบรอบ 7 ปี ในวันที่ 22 พฤษภาคม นี้
แต่เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศแล้ว ยังถือว่า “ไม่เป็นใจ” ไม่มีกระแส ไม่มีแรงส่งที่มีพลังมากพอ อาจเป็นเพราะนายทักษิณ ชินวัตร ในปัจจุบัน ถือว่า “หมดสภาพ” ไปแล้ว แม้ว่าจะพยายาม “แท็กทีม” กับน้องสาว คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามแซะในเรื่องวัคซีนของรัสเซีย ต่อเนื่องมาจนถึงการโหนเอา “แม่ค้าโซเชียลฯ” อย่าง “พิมรี่พาย” ซึ่งในตอนแรกหวังจะกระทบชิ่ง จวกรัฐบาลในการแก้ปัญหาโรคระบาด การติดเชื้อในเรือนจำที่พยายามแนะนำให้ควบคุม เสนอให้ตั้งโรงพยาบาลสนามในแบบ “พื้นๆ” เช่น เสนอให้ดัดแปลงสนามฟุตบอล โรงอาหาร เป็นโรงพยาบาลสนาม ซึ่งฝ่ายราชทัณฑ์ก็ทำอยู่แล้ว
และในตอนท้ายก็วกเข้าเรื่องเหน็บแนมประมาณว่า หากไม่รู้ว่าจะทำให้ราคาไม่แพงก็ให้ไปปรึกษา “พิมรี่พาย” ซึ่งก็ทำให้ สาวพิมรี่พาย นั่งไม่ติด เพราะรู้ว่าตัวเองถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อจิกกัดฝายตรงข้าม จึงตอกกลับไปอย่างเจ็บแสบทันควันว่า “คนอยู่ข้างนอกจะพูดอย่างไรก็ได้ แต่เธอยังต้องการทำมาหากิน ต้องการทำความดีต่อไป เธออยากตายที่นี่ ไม่อยากไปตายในต่างประเทศ” อะไรประมาณนี้
แต่ความหมายก็คือ “ถอนหงอก” นายทักษิณ ชินวัตร แทบจะหมดศีรษะเลยทีเดียว และที่สำคัญ “เสียฟอร์ม” ในแบบที่หากมองให้เห็นภาพก็คือโดนเด็กรุ่นหลัง “ตบคว่ำกลางตลาด” โทษฐานไม่ดูตาม้าตาเรือ และที่น่าขบขันก็คือ ยังได้เห็นลิ่วล้อหน้าเดิมๆ ที่ยังเหลืออยู่ออกอาการเจ็บร้อนแทน รุมด่า พิมรี่พาย ให้เสียหาย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เสียแนวร่วมในสังคมโซเชียลฯ มากขึ้นไปอีก เพราะต้องไม่ลืมว่าการไลฟ์สดขายสินค้าของแม่ค้าออนไลน์คนนี้ มีคนติดตามแต่ละครั้งหลายแสนคน ยิ่งต่อความยาวสาวความยืด มีแต่เสียกับเสีย !!