xs
xsm
sm
md
lg

เพราะมีชายคนนี้ “ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” ผู้ว่าฯ หมูป่า กับภาวะผู้นำเบื้องหลังทำยอดจองฉีดวัคซีนลำปางนำโด่งจนมหาดไทยยกเป็น “โมเดล” ** “เพนกวิน” ออกลายหลังได้ประกันตัวก็ประกาศจัดม็อบต่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์






ข่าวปนคน คนปนข่าว

** เพราะมีชายคนนี้ “ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” ผู้ว่าฯ หมูป่า กับ “ภาวะผู้นำ” เบื้องหลังทำยอดจองฉีดวัคซีนลำปางนำโด่งจนมหาดไทยยกเป็น “โมเดล”

“ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” หรือ ผู้ว่าฯ หมูป่า ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นกระแสสังคมพูดถึงอีกครั้งหลังมีรายงานอัปเดตยอดผู้จองคิวฉีดวัคซีนโควืด-19 ผ่านแอปฯ “หมอพร้อม” ที่จังหวัดลำปางกว่าสองแสนคน ติดอันดับสองเป็นรองแค่กรุงเทพฯ แต่หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อจำนวนประชากร ก็ต้องบอกว่า กทม.เทียบไม่ติด

นี่ถือเป็นผลงานที่น่าทึ่ง ท่ามกลางดรามาวัคซีนที่รัฐบาลยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้ ประกอบกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องวัคซีนถูกบิดเบือนด้วย “เฟกนิวส์” และว่ากันไปต่างๆ นานาจนสับสนอลหม่าน แต่สำหรับคนในจังหวัดลำปางกลับให้ความร่วมมือภาครัฐได้อย่างน่าชื่นชม
 
เบื้องหลังผลงานนี้ “ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” อธิบายไว้ว่า เป็นเรื่องของการบริหารจัดการเชิงรุก และการบูรณาการกันของหน่วยงานในจังหวัด โดยให้ อสม.ที่ใกล้ชิดชาวบ้านปูพรมเคาะประตูบ้าน ทำความเข้าใจในเรื่องของวัคซีนต่อประชาชน โดยเป้าหมายต้องการให้คนในจังหวัดห้าแสนกว่าคน ได้รับวัคซีนทั่วถึงและรวดเร็ว
 
จะว่าไปแล้ว จากเชียงรายถูกย้ายมาพะเยา แล้วก็มาที่ลำปางในปัจจุบัน ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ชื่อ “ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” มักแสดงให้เห็นฝีมือการทำงานที่ได้รับความ “เชื่อมั่น” และ “ศรัทธา” จากคนในพื้นที่

ณงค์ศักดิ์ โอสถธนากร
เรียกได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่มีวิกฤต “ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” จะใช้ “ภาวะผู้นำ” นักแก้ปัญหา ออกมาจัดการแก้ไขปัญหา และผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่สังคมจดจำได้ดี อย่างเช่นกรณีภารกิจช่วยเหลือทีมฟุตบอล “หมูป่า” ติดอยู่ในถ้ำหลวง จ.เชียงราย
 
ถ้ายังจำกันได้ ขณะนั้นต้องถือว่าการช่วยเหลือ 13 ชีวิต ที่ติดถ้ำนั้นเป็นภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่อาศัย “ภาวะผู้นำ” ที่ผู้ว่าฯ มี ดึงพลังของทุกภาคส่วนคนเป็นหมื่นๆ จากทุกมุมโลกมาหล่อมหลอมรวมกัน และด้วยความอดทน การตัดสินใจที่เด็ดขาด กลายเป็น “Key Factor” ที่นำไปสู่ความสำเร็จ ช่วยชีวิต “ทีมหมูป่า” ออกมาได้อย่างปลอดภัย
 
ครั้งนั้นสังคมโลกยอมรับนับถือ ชื่นชมในผลงานและยกย่อง “ภาวะผู้นำ” ของผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ให้เป็นตัวอย่างของการแก้ไขวิกฤตที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ให้ลุล่วงได้อย่างเหลือเชื่อ
 
ที่ จ.พะเยา ก็เช่นกัน มีตัวอย่างการจัดการ “หมอกควันพิษ” PM 2.5 ที่ถือเป็นปัญหาเรื้อรังสำหรับพื้นที่ภาคเหนือ และระดับประเทศ “ผู้ว่าฯ หมูป่า” มีวิธีการจัดการที่แตกต่างออกไป ด้วยการทำงานเชิงรุกที่รู้ว่าช่วงที่หมอกควันพิษจะรุนแรงช่วงฤดูกาลเผาป่า เผาไร่นาการเกษตรกร ก็ออกประกาศ “มาตรการ 60 วันอันตราย ห้ามเผาทุกชนิดโดยเด็ดขาด” และขอความร่วมมือทุกภาคส่วน บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเคร่งครัด ซึ่งก็ปรากฏเป็นผลงานที่ทำให้ จ.พะเยาในช่วงเวลานั้นไม่มีปัญหา PM 2.5
 
ความเป็นมืออาขีพในการบริหารจัดการที่เกิดจากภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะการดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และเน้นหนักไปที่ประชาชน มองเห็นและเข้าใจปัญหาเพื่อดึงเอาศักยภาพของราชการ อำนาจรัฐที่มีมาใช้อย่างเต็มที่ มีทั้งพระเดช พระคุณครบ ขณะที่ทุกขั้นทุกตอนไม่ลืมรายละเอียดในการทำงาน
 
หลายๆ คนที่ทำงานร่วมกับผู้ว่าฯ คนนี้ บอกว่าผู้ว่าฯ คิดต่างจากคนอื่น เรื่องการจัดการบริหารพื้นที่ใครพื้นที่มัน หรือหน่วยงานใครหน่วยงานมันต้องบูรณาการกัน ไม่ใช่ต้องเป็นแบบ “Single Command”

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
นั่นทำให้ครั้งหนึ่ง “ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” กลายเป็นขวัญใจมหาชน จนมีกระแสเรียกร้องอยากให้ลงสมัครชิงชัยผู้ว่าฯกทม. ก่อนที่จะย้ายมา จ.ลำปาง แต่เขาก็ปฏิเสธด้วยคำสั้นๆ “ผมไม่เล่นการเมือง” โดยจะขอทำหน้าที่ในฐานะข้าราชการไปจนเกษียณ ซึ่งเหลือเวลาอีกราว 4 ปีจากนี้
การทำงานโดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่ จ.ลำปาง ตอนนี้ข่าวว่า มหาดไทยของ “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เงียบกริบมานาน ยก จ.ลำปาง เป็น “โมเดล” ให้จังหวัดอื่นๆ นำไปใช้
บทเรียนบริหารวิกฤตแต่ละครั้ง “ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” มักบอกว่า “ในการทำงานจะมีแผนเดียวไม่ได้ ต้องมีแผนสำรองเผื่อไว้ อย่าลืมว่าการทำงานครั้งนี้มีชีวิตคนเป็นเดิมพัน ดังนั้นแผนที่วางไว้ต้องชนะเท่านั้น แผนจะต้องดี แต่ถึงจะดีก็ต้องมีแผน 2 แผน 3 เตรียมไว้”
จาก “ผู้ว่าฯ หมูป่า”..สู่ “ผู้ว่าฯ โควิด” นี่ก็เป็นอีกครั้ง ที่เราต้องศึกษาภาวะผู้นำของผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ไว้เป็นแบบอย่าง พูดได้ว่าเพราะ ลำปางมีชายคนนี้เป็นผู้นำ อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่าจะฝ่าวิกฤตโควิดมีชัยไปกว่าครึ่ง



** “เพนกวิน” ออกลาย หลังได้ประกันตัวก็ประกาศจัดม็อบต่อ เดินหน้าปฏิรูปสถาบันฯ เลิก ม.112 แถไม่ได้ผิดเงื่อนไขศาล

หลังได้รับอิสรภาพเพียงชั่วข้ามคืน “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มราษฎร ก็โพสต์เฟซบุ๊กประกาศเดินหน้าสู้ต่อเพื่อปฏิรูปสถาบันฯ ยกเลิก ม.112 และเพื่อประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่เพิ่งรับเงื่อนไขของศาลในการประกันตัว ห้ามกระทำการใดๆ ที่ถือเป็นการเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ และไม่เข้าร่วมการชุมนุมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
ถือว่าการถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ 93 วันนั้นไม่ได้ช่วยลดดีกรีความห้าวของ “เพนกวิน” ได้เลย
อันดับแรก “เพนกวิน” กร้าวใส่ศาลก่อนเลยว่า การที่ศาลกำหนดเงื่อนไขเช่นนั้น เป็นการเอาเรื่อง “การเมือง” มาตั้งเงื่อนไข เพื่อสกัดกั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของตนเอง พร้อมตั้งคำถามถึงการอำนวยความยุติธรรมของศาล

พริษฐ์ ชิวารักษ์
ส่วนที่ห้ามกระทำการใดๆ ที่ถือเป็นการเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น “กวิ้น” แถว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยสร้างความเสื่อมเสียอะไรให้กับสถาบันฯ
“ผมไม่คิดว่าสถาบันกษัตริย์จะเสื่อมเสียลงเพียงเพราะการที่ประชาชนพูดความจริง เช่นเดียวกับเรื่องการเรียกร้องให้ยกเลิก ม.112 ทวงคืนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (เช่น หุ้น SCB) ยกเลิกกองกำลังส่วนพระองค์ เหล่านี้ผมไม่เห็นว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้สถาบันกษัตริย์ได้อย่างไร หากจะมองว่าการเรียกร้องให้กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องเสื่อมเสีย ก็คงจะต้องถามกันต่อว่า ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข หรือปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กันแน่”
ดังนั้น การต่อสู้เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จะต้องดำเนินต่อไป!!

สำหรับเงื่อนไข ห้ามเข้าร่วมการชุมนุมที่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น “เพนกวิน” ตะแบงว่า ตลอดการต่อสู้ที่เขาเข้าร่วมหรือจัดการชุมนุมนั้น ไม่เคยใช้ความรุนแรง แต่เป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธทั้งสิ้น แต่ที่เห็นว่าไม่สงบในบางครั้งนี้น เป็นเพราะถูกเจ้าหน้าที่ ผู้ชุมนุมฝ่ายรัฐ และผู้ไม่ประสงค์ดี เป็นฝ่ายมาใช้กำลัง
ดังนั้น การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น เข้มแข็ง!!
แน่นอนว่าเนื้อความที่ “เพนกวิน” โพสต์ครั้งนี้ มีความเห็นตามมาหลากหลาย ในกลุ่มแนวร่วมติ่งสามนิ้ว ต่างชื่นชมในความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น ยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตย ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่า ติดคุกแล้วยังไม่สำนึก โกหก หลอกลวงศาล การออกมาประกาศท่าทีเช่นนี้ ต้องมี “ผู้ใหญ่อีแอบ” ยุยงให้ท้ายแน่
หากย้อนกลับไปดูคำพูดในช่วงการไต่สวนคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว จะเห็นว่า “เพนกวิน” ใช้ลีลาเล่นลิ้นต่อศาล บอกว่า หากศาลกำหนดเงื่อนไขเช่นเดียวกับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข จำเลยในคดีเดียวกันที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวไปก่อนหน้านี้ ก็ยินดีรับเงื่อนไข
และยังย้ำว่าที่ผ่านมาไม่เคยกระทำการใดที่เป็นการเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยินดีรับเงื่อนไข จะไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล จะเดินทางมาศาลทุกนัด และได้แต่งตั้งทนายความในคดีแล้ว
ส่วนการการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น “เพนกวิน” ยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ชุมนุมอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ และจะเข้าร่วมเฉพาะกิจกรรมที่สงบ สันติ จะไม่ไปเข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งศาลบอกว่าหากการชุมนุมเป็นไปตามสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็สามารถกระทำได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ก็มีทั้ง พ่อ แม่ และอาจารย์ ที่เป็นรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ มาร่วมขอโอกาสให้ “เพนกวิน” ได้กลับไปเรียนหนังสือ ทั้งให้การรับรองว่าจะควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลโดยเคร่งครัด
แต่หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมา กลับกลายเป็น “หนังคนละม้วน” ซึ่งหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตไว้แต่แรก เมื่อเห็น “เพนกวิน” พ้นประตูเรือนจำ ก็ชู 3 นิ้วกับแม่ สวมเสื้อยกเลิก ม.112 มีข้อความปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ก็มีความรู้สึกว่าทำไมถึงยังไม่รู้สำนึกกันบ้าง
แน่นอนว่าในบรรดาแนวร่วม และผู้ใหญ่อีแอบที่อยู่เบื้องหลัง ย่อมพอใจที่ “เพนกวิน” แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา เพราะถ้าออกมาแล้ว กลายเป็นคนสงบเสงี่ยม เรียบร้อย เลิกยุ่งเกี่ยวการเมือง นั่นหมายถึงการต่อสู้ที่ผ่านมาถือว่าล้มเหลว จะเดินหน้าต่อก็ชะงักงัน ไปไม่เป็น
หลังจากนี้ก็คงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของเพนกวิน และแนวร่วม ขณะเดียวกันก็รอดูการพิจารณาของศาลในการปล่อยตัวชั่วคราวครั้งต่อๆไป เพราะคดี ม.112 ทั้งของเพนกวินและแกนนำคนอื่นๆ ยังมีเป็นหางว่าว




กำลังโหลดความคิดเห็น