ไม่กลัวนรกกินกบาล! บูลลี่ “หลวงพี่กาโตะ” หลังเทศน์ชู 3 นิ้ว คือ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ “ศชอ.” แจงคืบหน้าคดี “หลานทอน” ส่อหมิ่นเบื้องสูง “กวิ้น” ห้าวเป้ง ไม่ยอมรับเงื่อนไขประกัน โยน “ศาลพิจารณาตัวเอง”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 พ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ข้อความระบุว่า
“จากกรณีที่ทางด้านสำนักข่าว The Truth ได้นำเสนอการเทศน์ของพระรูปหนึ่งให้นักศึกษาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช ส่งผลให้มีการพูดถึง “หลวงพี่กาโตะ” กันเป็นอย่างมากในเวลาต่อมา โดยภายในคลิปดังกล่าวนั้น หลวงพี่กาโตะ เพียงแค่พูดความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม และให้ข้อคิดที่ทำให้เด็กๆ และเยาชนเข้าใจง่าย ทั้งนี้ หลวงพี่กาโตะ เรียกว่า โด่งดังมาจากการทำคลิปธรรมะเชิงสนุกสนานเข้าใจง่าย แถมยังสอดแทรกมุกตลกที่แฝงคติธรรมให้วัยรุ่น แต่ก็เกิดดรามาขึ้น เมื่อแก๊งอันธพาลสามกีบ ได้ฟังการเทศน์ ที่พูดถึงแก๊งสามกีบ โดยมีรายละเอียดว่า
“วัยรุ่นสมัยนี้ทำอาตมาปวดหัวมาก เที่ยวไปชูสามนิ้วกัน พูดในนามพระเลยนะ เด็กวัยรุ่นบ้านเรานี่ดีหน่อยนึง โดยเฉพาะชาวใต้นี่ไม่เท่าไหร่ แต่ที่อื่นนี่น่าสงสารมากเที่ยวไปชูสามนิ้วกัน บางคนหุงข้าวยังไม่เป็นจะไปปฏิรูปประเทศแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา หน้าที่เราคือ เรื่องเรียน และจริงๆ แล้วสามนิ้วที่พวกเธอชูน่ะผิดทั้งนั้น การชูสามนิ้วที่ถูกต้อง คือ หนึ่ง-ชาติ สอง-ศาสนา สาม-พระมหากษัตริย์”
หลังจากที่คลิปดังกล่าวได้ถูกแชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก ทางด้านของผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @cnew888 ซึ่งมีผู้ติดตามอยู่ที่ประมาณ 300,000 บัญชี และเป็นบัญชีที่แก๊งสามกีบมักนิยมนำมาแชร์ต่อ ได้โพสต์คลิปหลวงพี่กาโตะ พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า ขอบคุณนะ (ค่ะ) ที่กล้าสอนหนู (คะ) หลวงพี่กาโตะ
หลังจากนั้น ก็มีกลุ่มอันธพาลสามกีบ เข้ามาโจมตี หลวงพี่กาโตะ ทั้งด่าทอด้วยข้อความหยาบคายต่างๆ นานา โดยมีบางคนยังมีการขู่ทำร้าย และยังมีบางคนข่มขู่หนักว่ากำลังตามล่าตัวหลวงพี่กาโตะอีกด้วย เรียกได้ว่า หลวงพี่กาโตะ กำลังถูกแก๊งสามกีบในโลกโซเชียล ที่เรียกได้ว่าไม่กล้าแม้จะเปิดเผยตัวตน ตามคุกคามผ่านโลกโซเชียล และข่มขู่อย่างรุนแรง จนทำให้ประชาชนทั่วไปยังไม่สามารถรับได้ในคำพูดบางคำ ที่แสดงออกกับพระดีๆ อย่างหลวงพี่กาโตะ
อ่านต่อได้ที่ลิงก์ : https://truthforyou.co/47588/?anm
และ จากเฟซบุ๊ก THE TRUTH เช่นกัน โพสต์ข้อความเกี่ยวกับคดี “หลานสาว” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่า
“จากกรณีที่เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564 น.ส.อัครสร หรือ “อั่งอั๊ง” บุตรสาวของ นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ บุตรสาวคนโตของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และยังมีศักดิ์เป็นหลานสาวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 กับตำรวจ ที่หน้าศาลฎีกา โดยพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ ในลักษณะอันมิบังควร ภายหลังเจ้าตัวได้ลบข้อความไปแล้ว แต่ก็มีชาวเน็ตบันทึกภาพหน้าจอข้อความดังกล่าวเอาไว้ได้ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวคิดดังกล่าวจำนวนมาก
ต่อมาทางด้าน ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด (Bully) ทางสังคมออนไลน์ หรือ ศชอ. ได้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อ น.ส.อัครสร โอปิลันธน์ หรือ อั่งอั๊ง ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
วันนี้ ศชอ.โพสต์ข้อความแจ้งความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ น.ส.อัครสร ในข้อหามาตรา 112 โดยระบุว่า เคสนี้แจ้งความไว้เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 64 วันนี้ ปอท. เรียกไปให้ปากคำเพิ่มเติม คดีนี้ยังเดินหน้าต่อไป ขอแจ้งมาเพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบ”
อ่านต่อได้ที่ลิงก์ : https://truthforyou.co/47533/?anm
ขณะเดียวกัน กระแสร้อน อยู่ที่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “สาส์นแรกแห่งอิสรภาพ”
โดยเนื้อหา ระบุว่า “สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน
การคุมขังผม 93 วัน และการอดอาหารประท้วงความอยุติธรรมเป็นเวลา 57 วัน ของผมสิ้นสุดลงแล้ว โดยที่เมื่อวานนี้ ศาลได้คืนสิทธิประกันตัวให้ผมและพี่แอมมี่แล้ว แม้จะเป็นการประกันตัวโดยที่ศาลกำหนดเงื่อนไขมาบางประการ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เป็นเงื่อนไขที่ตั้งขึ้นเพื่อสกัดกั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ผมจะถือว่าการที่ศาลเอาเรื่องทางการเมืองมาตั้งเงื่อนไขนี้ เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาตัวเองว่า ดำรงตนในความยุติธรรมหรือไม่ อย่างไรก็ดี นี่คือ การวางบรรทัดฐานว่า คดีมาตรา 112 ก็มีสิทธิได้รับการประกันตัว จากเดิมที่ในอดีตนั้นแทบไม่มีการได้ประกันตัวเลย และผมเชื่อว่า กฎหมายป่าเถื่อนมาตรานี้จะถูกยกเลิกไปในไม่ช้า
ในส่วนของเงื่อนไขนั้น ผมเห็นว่า ไม่ได้ขัดข้องอะไรต่อการเคลื่อนไหว เพราะเงื่อนไขข้อที่ว่าห้ามมิให้สร้างความเสื่อมเสียต่อสถาบันกษัตริย์นั้น ผมก็ไม่เห็นว่า ผมจะสร้างความเสื่อมเสียอะไรให้สถาบันกษัตริย์ เพราะผมไม่คิดว่าสถาบันกษัตริย์จะเสื่อมเสียลงเพียงเพราะการที่ประชาชนพูดความจริง เช่นเดียวกับเรื่องการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ทวงคืนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (เช่น หุ้น SCB) ยกเลิกกองกำลังส่วนพระองค์ เหล่านี้ผมไม่เห็นว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้สถาบันกษัตริย์ได้อย่างไร หากจะมองว่าการเรียกร้องให้กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องเสื่อมเสีย ก็คงจะต้องถามกันต่อว่าประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข หรือปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กันแน่
ดังนั้นแล้ว สำหรับผม การต่อสู้เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์จะดำเนินต่อไป
สำหรับเงื่อนไขเรื่องห้ามเข้าร่วมการชุมนุมที่ก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น ผมยืนยันว่า ตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมา ผมยึดมั่นในหลักการไม่ใช้ความรุนแรง การชุมนุมที่ผมเข้าร่วม หรือได้มีส่วนร่วมจัดนั้นล้วนแต่เป็นการชุมนุมโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธทั้งสิ้น เท่าที่เห็นก็มีแต่จะไม่สงบบ้าง เพราะถูกเจ้าหน้าที่ ผู้ชุมนุมฝ่ายรัฐ และผู้ไม่ประสงค์ดีมาใช้กำลังเพียงเท่านั้น ดังนั้น ผมจึงเห็นว่าเงื่อนไขข้อนี้จะไม่เป็นอุปสรรคในการต่อสู้ของผมเช่นกัน และผมพร้อมที่จะเข้าร่วมทุกกิจกรรมหลังจากที่วิกฤตการณ์โรคระบาดระลอกนี้ (ซึ่งเกิดจากความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล) ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะยังดำเนินต่อไปด้วยความเข้มข้นและเข้มแข็ง การต่อสู้ของเราดำเนินอยู่บนสัจธรรมความจริง เพราะไม่มีพลังใดจะยิ่งใหญ่เท่าพลังแห่งความจริง และความจริงย่อมเป็นสิ่งนิรันดร์ประดุจดวงดาว เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่มุมใดของฟ้า ดวงดาวก็จรัสแสง เช่นเดียวกับความจริง ไม่ว่าจะอยู่ในกรงขัง ในเครื่องทรมาน หรือที่หลักประหาร ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงที่ทรงพลังและไม่มีวันตาย
ก้าวต่อไปเฉพาะหน้า เราจะต้องช่วยกันปลดปล่อยผู้พูดความจริงอีกหลายคนที่ยังถูกจองจำอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นทนายอานนท์ พี่ไมค์ ระยอง แฟรงค์ ณัฐชนน และอีกหลายๆ ท่าน เราผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายยังจะต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ให้เห็นอย่างสมบูรณ์ว่าการพูดความจริงไม่ผิด และความเท็จไม่อาจคุมขังปิดบังความจริงได้ตลอดไป
ผมยังคงเป็นผม และยังคงศรัทธาในความจริงที่ว่าไม่มีใครหมุนเข็มนาฬิกากลับได้ และสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงซึ่งกำลังพัดโบกจะพาเราไปสู่อีกด้านหนึ่งของขอบฟ้าในไม่ช้านี้
ส่วนในระหว่างนี้ ตัวผมขอพักฟื้นร่างกายและหาอะไรกินก่อนจะเดินไปกับพี่น้องทุกท่านอีกครั้ง ผมยังคงเป็นคนเดิม สู้เพื่ออุดมการณ์ดังเดิม และจะมุ่งมั่นต่อการต่อสู้มากกว่าเดิมครับ
ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก THE TRUTH ได้ย้อนอดีตให้เห็นว่า “นายประกัน” คนเดียวกันเมื่อปี 63 ปล่อยให้ “กวิ้น” ออกมาก่อเหตุข้อหาเดิมซ้ำ
โดยระบุว่า “การไต่สวนคำร้องขอประกันตัว นายพริษฐ์ และ นายไชยอมร แถลงต่อศาลด้วยความสมัครใจว่า หากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจะไม่ไปกระทำการใดๆ ที่จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง รวมถึงการกระทำใดๆ ในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์เฉพาะที่ตนดูแลด้วย ไม่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล รวมทั้งจะมาตามกำหนดนัดศาลและเข้าร่วมกระบวนพิจารณาคดีของศาล
โดยในวันนี้ได้แต่งตั้งทนายความมาเข้าร่วมกระบวนพิจารณาคดีแล้ว และหากศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ยอมติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (EM) โดยมีบิดาและมารดาของนายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน รวมถึงผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร จันทรสุข รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกัน แถลงยืนยันว่า นายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ให้ไว้ต่อศาลได้และจะร่วมกันกำกับดูแลให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ให้ไว้ต่อศาลอย่างเคร่งครัด
“มีคำสั่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร จันทรสุข เป็นผู้กำกับดูแลนายพริษฐ์ ผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และตั้ง นายคมชาญ กับนางอรวรรณ แก้ววิบูลย์พันธุ์ เป็นผู้กำกับดูแลนายไชยอมร หรือ แอมมี่ ผู้ถูกปล่อยชั่วคราว โดยให้ทำหน้าที่สอดส่องดูแลให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิบัติตามเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่ศาลกำหนดอย่างเคร่งครัด หากมีการผิดเงื่อนไขให้ผู้กำกับดูแลรายงานให้ศาลทราบโดยเร็ว”
ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2563 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า เวลา 14.39 น. ศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัว นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยใช้ตำแหน่งของ ผศ.อดิศร จันทรสุข ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนายประกัน โดยมีเงื่อนไขห้ามกระทำการใดๆ ในลักษณะเดียวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดสัญญาประกัน มีโทษปรับ 100,000 บาท”
อ่านต่อได้ที่ลิงก์ : https://truthforyou.co/47556/?anm
แน่นอน, นี่คือ สิ่งที่สะท้อนปัญหาประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแค่ “ปัญหาการเมือง” อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เป็นปัญหาใหญ่ถึงขั้น มีคนบางส่วนต้องการที่จะชี้นำคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ให้เห็นด้วยกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ คิดอย่างเดียวกับพวกเขา และไม่ยอมให้คิดต่างด้วย แม้ว่า คนไทยส่วนใหญ่จะคิดต่าง และยังคงจงรักภักดีต่อสถาบัน ไม่เชื่อสิ่งที่คนส่วนนี้ให้ร้ายสถาบันฯที่ดูเหมือนบิดเบือน และไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
ที่สำคัญ คนไทยส่วนใหญ่ได้ตัดสินผ่านการเลือกตั้งถึงสองครั้ง คือ เลือกตั้งนายก อบจ. และเลือกตั้งนายกเทศบาล ที่กลุ่มสนับสนุนปฏิรูปสถาบันแพ้เลือกตั้งอย่างหมดรูป ท่ามกลางกระแสม็อบ 3 นิ้ว
ทั้งยังเกิดปัญหาแทรกซ้อนการต่อสู้เรียกร้องตามมาอีก กล่าวคือ การ “ล่าแม่มด” หรือ “บูลลี่” ผู้เห็นต่างของฝ่าย “3 นิ้ว” หรือที่เรียกกันว่า “สามกีบ” โดยเฉพาะกับใครก็ตามที่เห็นต่างจากพวกเขา และเสนอแนะพวกเขาด้วยเหตุผลที่น่ารับฟัง อย่างกรณี “หลวงพี่กาโตะ” พระนักเทศน์ขวัญใจวัยรุ่นโดนอยู่ในเวลานี้
ก่อนหน้านี้ ผู้พิพากษาคนหนึ่งที่เป็นผู้ตัดสินการให้ประกันตัว แกนนำ 3 นิ้ว ก็ถูก “ล่าแม่มด” ทั้งตัวเองและครอบครัวอย่างรุนแรง เพียงเพราะทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หรือ ไม่ตัดสินตามแรงกดดันของ ม็อบ 3 นิ้วที่ประท้วงหน้าศาลอาญาหลายครั้ง
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีของคนในสังคมไทยว่า มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ มาตลอดทุกครั้งที่มีการชุมนุม (ม็อบ) ของพวก 3 นิ้ว และสังคมทราบดีว่า เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมายที่จับกุมกลุ่มแกนนำที่ทำผิดกฎหมาย โดยมีพยานหลักฐานมากมายที่บันทึกเอาไว้ได้อย่างดิ้นไม่หลุด อันนี้ต้องอยู่ที่ศาลจะตัดสินว่า เพียงพอที่จะเอาผิดหรือไม่
และทราบกันดีว่า ทำไมแกนนำ 3 นิ้วไม่ได้ประกัน จน “กวิ้น” และ “รุ้ง” อดข้าวประท้วง ก่อนถูกปล่อยตัวในที่สุด
ปัญหาคือ แกนนำม็อบ 3 นิ้ว เคยได้ประกันแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งศาลจะให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายการให้ประกัน แต่ปรากฏว่า ทุกครั้งที่ถูกปล่อยออกมา ก็จะมาก่อคดีเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะการทำให้สถาบันเสื่อมเสีย จนกระทั่งศาลไม่ให้ประกัน พอศาลไม่ให้ประกัน ก็โจมตีศาลว่า อยุติธรรม โจมตีว่า มีคนสั่งให้ไม่ได้ประกัน เพราะเป็นคดี 112 ซึ่งเข้าข่ายหมิ่นสถาบันฯ เลยกลายเป็นเอาเรื่องนี้มาเล่นการเมือง ตีวัวกระทบคราดสถาบันเข้าไปใหญ่ ทุกอย่างจึงวนไปเวียนมาอยู่กับ ความพยายามที่จะโจมตีสัญลักษณ์อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ “กวิ้น” จะหลอกศาล เพื่อให้ได้อิสรภาพออกมา แล้วโยนให้ศาลเป็นคนพิจารณาตัวเอง ว่า ทำถูกต้องหรือไม่ แทนที่จะทำตามเงื่อนไขที่แถลงเอาไว้กับศาล โดยอ้างว่า ศาลกำหนดเงื่อนไขตามการเมือง คิดดูว่า อย่างนี้จะให้ศาลทำอย่างไร
เหนืออื่นใด วันนี้น่าจะทำให้สังคมไทย คนไทยเห็นแล้วว่า คนกลุ่มนี้เป็นคนอย่างไร พวกเขาไม่เพียงทำให้คนไทยแตกแยก ทำให้สถาบันที่คนไทยเคารพรักถูกบ่อนแซะทำลาย ทำให้รัฐบาลหมดความน่าเชื่อถือ โจมตีรัฐสภา ว่าไม่ใช่สภาของประชาชน สุดท้ายแม้แต่ศาล ก็ยังถูกทำลายความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรงเช่นกัน
อย่างนี้แล้ว ที่นักวิเคราะห์บางคน ระบุว่า พวกเขามุ่งทำลายทุกอย่างที่เป็นสถาบันหลักของประเทศไทย เพื่อผลประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ก็ไม่น่าจะเกินจริง ดูแค่ “กวิ้น” ก็คิดอย่างนี้ได้ “อีแอบ” ทั้งหลายจะคิดเอาไว้มากและไกลแค่ไหน ก็ลองคิดดู!!!