สัญญาณ “ยอมงอ” ดีกว่า “ยอมหัก” มาแล้ว! หลัง “รุ้ง” ยอมรับเงื่อนไข ไม่ทำเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ “เพจดัง” แฉกลเกม “ทนาย-ขบวนอีแอบ” แสบ ใช้ “กวิ้น-พวก” เป็นเหยื่อเซ่นเลิก 112 “พิธา” ส.ส. “ก้าวไกล” โผล่แจมบรรดาแม่ “อานนท์” ติดโควิดจริง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 พ.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“หลังจาก ศาลออกมาชี้แจงว่า
“ทนายกวิ้น” ไม่ยื่นเงื่อนไขจะไม่กระทำผิดซ้ำ
จึงไม่ได้รับการประกันตัว
หลังจากนั้น ข่าวกวิ้นอาการหนักใกล้ตาย
ก็หายเงียบไปจากฟีด
วันนี้ ทนาย ก็เลยยื่นเงื่อนไข “ไม่ทำผิดซ้ำ”
ให้ “รุ้ง” ขอประกันตัวออกมา
นึกย้อนกลับไปเคส อานนท์ บอกให้ อากง สารภาพ จนติดคุก
ทีนี้เข้าใจยังว่า “ทนายสิทธิมนุษยชน” มีไว้เพื่ออะไร
ปล.ส่วน กวิ้น แอมมี่ ยังติดคุกต่อ
เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงโควิด เลยต้องเลื่อนพิณาฯ 55555
#มีไว้หาเหยื่อเซ่น 112”
ขณะเดียวกัน วันนี้ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราว น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” แกนนำกลุ่มราษฎร คดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร หลังมารดาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ 2 แสนบาท เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ขอปล่อยชั่วคราว โดยศาลได้เบิกตัว น.ส.ปนัสยา จำเลยที่ 5 มาศาล ทำการไต่สวนกับพยานอีก 4 ปาก รวม 5 ปาก
น.ส.ปนัสยา แถลงต่อศาลว่า จะเคารพและปฏิบัติตามเงื่อนไขการขอปล่อยชั่วคราวที่ทนายความยื่นคำร้อง ประกอบด้วย 1. จะไม่กระทำการที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. ไม่เดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน และ 3. จะเดินทางมาศาลทุกครั้งตามที่ศาลได้นัดหมาย พร้อมแต่งตั้งทนายความในกระบวนการพิจารณาคดี หลังถอนทนายความไปก่อนหน้านี้ และไม่ขัดข้อง หากศาลจะให้ติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM)
จากนั้นศาลได้ไต่สวนพยานอีก 4 ปาก คือ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, บิดาและมารดาของ น.ส.ปนัสยา และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องมาไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราว
โดย รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์, บิดาและมารดาของ น.ส.ปนัสยา แถลงต่อศาลทำนองเดียวกัน ยืนยันว่า จำเลยมีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุก และหากจำเลยได้ปล่อยชั่วคราว จะกำกับดูแลจำเลยให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด
ด้านเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทัณฑสถานหญิงกลาง แถลงต่อศาลว่า ระหว่างถูกคุมขังจำเลยปฏิบัติตามระเบียบเป็นอย่างดี และทราบว่าไม่เคยทำผิดระเบียบในเรือนจำมาก่อน
หลังไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลอ่านรายงานกระบวนพิจารณา ถึงกรณี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลกลับไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ “แอมมี่” จำเลยที่ 17 ทั้งสองไม่ได้เบิกตัวมาศาลในการไต่สวน เนื่องจากจำเลยทั้งสองอยู่ระหว่างกักตัว เหตุใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ศาลจึงให้เลื่อนการไต่สวนขอปล่อยชั่วคราวของจำเลยทั้งสองคน และให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายงานว่าจะนำตัวจำเลยทั้งสองคนมาไต่สวนได้เมื่อไหร่
ส่วน น.ส.ปนัสยา จำเลยที่ 5 ศาลได้ไต่สวนพยานทั้ง 5 ปากเสร็จสิ้นแล้ว ประกอบกับโจทก์ไม่คัดค้านการประกันตัว ศาลจึงนัดฟังคำสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวหรือไม่ ในช่วงบ่ายวันนี้
อย่างไรก็ตาม The Reporters รายงาน ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เช่นกันว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย น.ส.อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล น.ส.เบญจา แสงจันทร์ และ น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา เดินทางมาให้กำลังใจมารดาของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 พร้อมร่วมติดตามผลการขอยื่นประกันตัว หลังจากมารดาของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 โดยวางหลักประกันคนละ 200,000บาท
นายพิธา กล่าวว่า วันนี้มาพร้อม ส.ส.ของพรรคก้าวไกล เพื่อให้กำลังใจมารดาของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ซึ่งตนเองไม่ได้มาแค่ในฐานะนักการเมือง หรือผู้แทนราษฎรที่จะต้องมีหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของพี่น้องประชาชน แต่มาในฐานะเพื่อนมนุษย์ และในฐานะของพ่อคนด้วย โดยรู้สึกผิดหวังและหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ในวันนี้จึงมาเพื่อให้กำลังใจเเละแสดงความนับถือคุณแม่ของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ทุกคน และต้องการมาร่วมยืนยันว่า สิทธิประกันตัวผู้ต้องหา เป็นสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองตามหลักสากลที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมในภาคีเครือข่ายกับอีก 172 ประเทศ พรรคก้าวไกลจะไม่นิ่งนอนใจต่อกรณีที่เกิดขึ้น เเละกำลังปรึกษาหารือว่าจะมีวิธีใดในการทำให้กฎหมายถูกนำกลับมาใช้เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพประชาชน ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปิดปากผู้เห็นต่าง...
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก อานนท์ นำภา ทนายความและแกนนำม็อบราษฎร ผู้ต้องหาคดี 112 ขณะนี้อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า นายอานนท์ ติดเชื้อโควิด-19 ถูกส่งไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก อานนท์ นำภา ระบุว่า ไม่มีข้อความฝาก อานนท์ นำภา ป่วยจนคุยกับทนายยาวๆ ไม่ไหว เขาเป็นไข้จนต้องใช้ผ้าผืนเล็กๆ พาดคอและเช็ดตัวตลอดเวลา เขาไข้ขึ้นและเวียนหัวจะอ้วกอยู่ตลอดเวลามาถึง 3 วันแล้ว แต่ก็ได้แค่อยู่ในห้องขัง แม้ขณะคุยกับทนายความก็ไม่สามารถคุยได้บอกว่าหน้ามืดจะเป็นลม
ด้าน นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ นายพริษฐ์ ถูกส่งตัวเข้าตรวจและรักษาอาการป่วยจากการอดอาหารที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ 30 เม.ย. ขณะนี้นายพริษฐ์ได้รับการรักษาอาการจนดีขึ้น ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ สามารถดื่มน้ำเกลือแร่ นม และวิตามิน ได้เป็นปกติแล้ว แพทย์จึงเห็นควรส่งตัวกลับรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตามระเบียบปฏิบัติของราชทัณฑ์ เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ผ่านมา
ด้านกระแสข่าว นายอานนท์ นำภา หรือทนายอานนท์ แกนนำคณะราษฎร ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น กรมราชทัณฑ์ขอเรียนว่า นายอานนท์ ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จริง โดยเพิ่งตรวจพบเชื้อเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา สันนิษฐานว่า เป็นการติดเชื้อจาก นายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือ จัสติน แกนนำคณะราษฎรที่ตรวจพบเชื้อไปก่อนหน้า ตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.
สำหรับ นายอานนท์ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดความเสี่ยงสูงจากการกักตัวร่วมกันกับนายจัสติน ในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังเข้าใหม่-รับย้าย และออกศาล ซึ่งเคยได้รับการตรวจหาเชื้อไปแล้วครั้งแรก แต่ผลเป็นลบ ต่อมาได้ตรวจหาเชื้อซ้ำในช่วงระหว่างกักตัวและพบการติดเชื้อดังกล่าวพร้อมกับผู้ต้องขังอีก 1 ราย ที่เป็นกลุ่มสัมผัสใกล้ชิดความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ผู้ต้องขังทั้งสองรายได้เข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เกมการต่อสู้ กรณีถูกดำเนินคดี ม.112 แล้วไม่ได้ประกัน ของกลุ่มแกนนำม็อบ 3 นิ้ว หรือ ม็อบคณะราษฎร ที่รับรู้กันดีว่า ไม่มีแต่เฉพาะม็อบ 3 นิ้วเท่านั้น ที่ต่อสู้เรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ พล.อ.ประยุทธ์ และพวกลาออก และแก้รัฐธรรม 2560 ทั้งฉบับ
หากแต่ยังมีบรรดา “อีแอบ” มากมายที่ให้การหนุนหลังทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทั้งนักการเมือง นักวิชาการในมหาวิทยาลัย และผู้ลี้ภัยในต่างประเทศ แน่นอน แต่ละคนแต่ละกลุ่มล้วนสมประโยชน์ในการหนุนหลังทั้งเหมือนและต่างกันไป
รวมทั้งที่ชัดเจนไปกว่านั้น ยังพบว่า ข้อเรียกร้องที่ถือว่าเป็นเป้าหมายหลัก ก็คือ “ปฏิรูปสถาบันฯ” นั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ จึงไม่ใช่ปกติทั่วไปเหมือน นาย ก. นาย ข. ทำความผิด มาตรา 112 (หมิ่นสถาบันฯ) ซึ่งการจะได้ประกันหรือไม่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล และทนายความก็จะดำเนินการไปตามกระบวนการของกฎหมาย เท่านั้นก็จบ
เพราะจำเลยยืนยันมาตลอดว่า ศาลจะต้องให้ประกันโดยไม่มีเงื่อนไขตามสิทธิที่กำหนดเอาไว้ในกฎหมาย และไม่สนใจว่าจะต้องมีเงื่อนไขในการที่ศาลจะใช้เป็นดุลพินิจ ให้หรือไม่ให้ประกัน ซึ่งศาลก็ดำเนินการไปตามกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้
ในกรณีแกนนำม็อบ 3 นิ้ว มีปัญหาอยู่ว่า ศาลเคยให้ประกันก่อนหน้าแล้วหลายครั้ง แล้วทุกครั้งหลังได้ประกันตัว แกนนำม็อบ ก็จะไปก่อเหตุซ้ำเหมือนเดิม คดีเดิม บางคนทำซ้ำข้อหา ม.112 เกือบ 20 คดี จนพักหลังศาลไม่ให้ประกัน โดยอ้างไปทำผิดซ้ำ และอาจไปก่อคดีร้ายแรงอย่างอื่น ถึงกระนั้น แกนนำม็อบ ยังยืนยันในสิทธิที่จะได้ประกัน อย่างไม่มีเงื่อนไข จนนำมาสู่การอดข้าวประท้วง เพื่อกดดันศาลให้ได้ประกันตัว แต่ศาลก็ยึดมั่นตามกฎหมาย ไม่ทำตามกระแสกดดัน
นอกจากนี้ แกนนำ 3 นิ้ว ยังทำในสิ่งที่เหิมเกริมเข้าไปใหญ่ คือ ถอนทนายออกจากการต่อสู้คดี และไม่ยอมรับกระบวนการตามกฎหมาย จนสร้างความยากลำบากให้กับศาลในการดำเนินคดี หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ยอมรับการพิจารณาคดีของศาลนั่นเอง
นี่คือ สิ่งที่เป็นปัญหาของการไม่ได้ประกัน และศาลก็ได้ทำให้เห็นแล้วว่า การได้ประกันตามกฎหมาย ควรทำอย่างไร กรณีแกนนำ 3 นิ้วบางส่วนได้ประกันเพราะทำตามเงื่อนไขประกันตัวที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย
จนท้ายที่สุด ในเวลานี้ “รุ้ง” ได้ทำตามกฎหมายเรียบร้อย คือ แต่งตั้งทนายสู้คดีใหม่ และยอมรับกระบวนการตามกฎหมาย แถลงต่อศาลที่จะไม่ทำผิดซ้ำ ไม่ทำความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ยอมรับเงื่อนไขทุกอย่าง เหมือนกับแกนนำที่ได้ประกันตัวก่อนหน้านี้ ซึ่งเชื่อว่า ศาลจะพิจารณาให้ประกัน?
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า ใครกันแน่ที่เล่นเกมกับศาล โดยเอาชีวิตของแกนนำ 3 นิ้ว ที่อยู่ในเรือนจำ เป็นเหยื่อเซ่นสังเวยต่อรอง ขณะที่นำเอาเรื่องนี้ไปขยายผลในการต่อสู้เรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ ยกเลิก ม.112 ว่า ศาลไม่ยุติธรรม มีความอยุติธรรมในการพิจารณาคดี ม.112 รวมทั้งสร้างข่าวปลอม (โดย “ล้มเจ้า” สมศักดิ์ เจียม) มีคนสั่งศาล ซึ่งเป็นการ “ตีวัวกระทบคราด” อย่างชัดเจน
เหนืออื่นใด โควิด-19 ไม่สนอยู่แล้ว ว่า ใครกำลังเล่นเกมกับใคร จะจบอย่างไร ลองติดเชื้อเข้าไปและรักษาไม่ทัน จุดจบก็เห็นได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเก่งกล้าท้าทายมาจากไหน หรือจะลองดู!?