เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่ายังเป็นช่วงระหว่างรอศาลอาญานัดฟังคำสั่ง ในช่วงบ่ายวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำหรับ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำกุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” ในคดีความผิดตาม มาตรา 112 และอีกหลายคดี จากกรณีการชุมนุม 19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2563 โดยกอนหน้านี้ มารดาของเธอได้ยื่นคำร้อง พร้อมหลักทรัพย์ 2 แสนบาท เมื่อวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ขอปล่อยชั่วคราว โดยศาลได้เบิกตัว น.ส.ปนัสยา จำเลยที่ 5 มาศาล ทำการไต่สวนกับพยานอีก 4 ปาก รวม 5 ปาก
มีรายงานว่า ในช่วงเช้าของวันที่ 6 พฤษภาคม น.ส.ปนัสยา แถลงต่อศาลว่า จะเคารพและปฏิบัติตามเงื่อนไขการขอปล่อยชั่วคราวที่ทนายความยื่นคำร้อง ประกอบด้วย 1. จะไม่กระทำการที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. ไม่เดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน และ 3.จะเดินทางมาศาลทุกครั้งตามที่ศาลได้นัดหมาย พร้อมแต่งตั้งทนายความในกระบวนการพิจารณาคดี หลังถอนทนายความไปก่อนหน้านี้ และไม่ขัดข้อง หากศาลจะให้ติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM)
จากนั้นศาลได้ไต่สวนพยานอีก 4 ปาก คือ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บิดาและมารดาของ น.ส.ปนัสยา และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องมาไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราว
โดยรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บิดาและมารดาของ น.ส.ปนัสยา แถลงต่อศาลทำนองเดียวกัน ยืนยันว่าจำเลยมีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุก และหากจำเลยได้ปล่อยชั่วคราว จะกำกับดูแลจำเลยให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด
ด้านเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทัณฑสถานหญิงกลาง แถลงต่อศาลว่า ระหว่างถูกคุมขังจำเลยปฏิบัติตามระเบียบเป็นอย่างดี และทราบว่าไม่เคยทำผิดระเบียบในเรือนจำมาก่อน
หลังไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลอ่านรายงานกระบวนพิจารณาถึงกรณี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน จำเลยที่ 1 ซึ่งถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลกลับไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ จำเลยที่ 17 ทั้งสองไม่ได้เบิกตัวมาศาลในการไต่สวน เนื่องจากจำเลยทั้งสองอยู่ระหว่างกักตัว เหตุใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ศาลจึงให้เลื่อนการไต่สวนขอปล่อยชั่วคราวของจำเลยทั้งสองคน และให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายงานว่าจะนำตัวจำเลยทั้งสองคนมาไต่สวนได้เมื่อไหร่
ส่วน น.ส.ปนัสยา จำเลยที่ 5 ศาลได้ไต่สวนพยานทั้ง 5 ปากเสร็จสิ้นแล้ว ประกอบกับโจทก์ไม่คัดค้านการประกันตัว ศาลจึงนัดฟังคำสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวหรือไม่ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ซึ่งจนถึงขณะนี้ (เวลา 16.00 น.) ยังไม่ทราบคำสั่งศาลว่าจะออกมาแบบไหน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากแนวโน้ม แล้วมั่นใจได้ว่า ผลน่าจะออกมา “ในทางบวก” มากกว่าลบแน่นอน และหากบอกว่า นี่คือแนวทางการต่อสู้คดีที่ “มาถูกทางแล้ว” และหากเดินแนวนี้ตั้งแต่แรก ก็น่าเชื่อว่า คงได้รับการประกันตัวออกมาตั้งนานแล้ว เหมือนกับ นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ “หมอลำแบงค์” จำเลยในคดีเดียวกันที่ยืนยันเงื่อนไขกับศาลในลักษณะดังกล่าวมาก่อนหน้านี้ และได้รับการประกันตัวเป็นคนแรก ตามมาด้วย นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” และ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เพิ่งเปลี่ยนวิธีการและยืนยันเงื่อนไขในแบบเดียวกันก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาในที่สุด
แม้ว่าจะเป็นสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยว่าจะเลือกต่อสู้คดี หรือแนวทางในการเคลื่อนไหวตามแบบเฉพาะตัว ซึ่งวิธีการของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล รวมไปถึงจำเลยคนอื่นๆ เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ เป็นต้น ที่อ้างสิทธิตามกฎหมายของตัวเองโดยย้ำว่า “ยังเป็นผู้บริสุทธิ์”ตราบใดที่ศาลยังไม่ตัดสินว่ามีความผิด พร้อมกับเพิ่มหลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมไปถึงนำบุคคลต่างๆ มาการันตี หรืออ้างต่างๆ นานา ทั้งเรื่องสุขภาพและการศึกษา แต่ศาลก็ไม่อนุญาต เนื่องจากจำเลยไม่เคยยืนยันในเรื่องไม่เคลื่อนไหวในเรื่องที่ “ถูกฟ้องซ้ำๆ” โดยไม่ยืนยันว่าจะไม่เคลื่อนไหวจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
ตรงกันข้าม กลับยังมีท่าที “เหิมเกริม” ท้าทายศาล ใช้วิธีอดอาหารประท้วงกดดันศาล รวมไปถึงสร้างความวุ่นวายในห้องพิจารณาคดี จนถูกสั่ง “คุมขัง” เพิ่มเติมมาแล้ว อีกทั้งยังมีการเคลื่อนไหวจากแนวร่วมภายนอก ข่มขู่คุกคามศาล ผู้พิพากษาและคนในครอบครัวจนปรากฏให้เห็นรายงานความเคลื่อนไหวมาแล้ว ซึ่งคนพวกนี้กำลังถูกดำเนินคดีตามมาอีก แต่เอาเป็นว่าวิธีการที่ว่านี้ “มันไม่มีทางได้ผล”มีแต่เรียกเสียงประณามจากคนรอบข้าง ไม่มีแนวร่วม ไม่มีกระแสจากสังคมที่เห็นใจจนสร้างพลังกดดันใดๆ ได้เลย
การเคลื่อนไหวในแนวทางแบบเดิม ทั้ง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ไม่น่าจะได้ผล เพราะไม่ต่างจากเอาหัว “ชนกำแพง” ขณะเดียวกัน อาจเป็นเพราะเห็นตัวอย่างของจำเลยรายอื่นที่ได้ลิ้มรสของอิสรภาพนอกเรือนจำ ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ ซึ่งน่าจะมาถูกทางแล้ว น่าจะมีแนวโน้มออกมาในทางบวกค่อนข้างแน่ !!