เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นเรื่องที่กดดันตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบหาทางลง หาทางออกไม่เจอแล้ว สำหรับ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” ที่ยังประกาศอดอาหาร (ดื่มแต่นม เกลือแร่ น้ำ) โดยเฉพาะ นายพริษฐ์ ที่อ้างว่า ทำการอดอาหารมานานเดือนกว่าแล้ว โดยกดดันกับศาลให้ได้รับการประกันตัว หลังจากเป็นจำเลยในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับ พระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ และความผิดอื่นอีกหลายข้อหา ต่างกรรมต่างวาระ
ที่ต้องระบุว่า พวกเขา (พริษฐ์ และ ปนัสยา) เริ่มกดดันตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากแนวทางการต่อสู้เพื่อให้ได้รับการประกันตัว หลังจากมีความพยายามยื่นคำร้องขอประกันตัวอยู่หลายครั้ง ทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์ เพิ่มนายประกันที่คิดว่ามีความน่าเชื่อถือ หรือแม้แต่การอ้างเรื่องปัญหาสุขภาพ การศึกษา (การสอบ) แต่ก็ยังไร้ผล
เพราะศาลยกคำร้องทุกครั้งโดยให้เหตุผลแบบเดิม ก็คือ ยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ซึ่งความหมายก็คือ นอกเหนือจากความผิดที่ถูกฟ้องมีอัตราโทษสูงแล้ว ที่สำคัญก็คือ จำเลยยังมีท่าทีเคลื่อนไหวในลักษณะแบบเดิม ซ้ำๆ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ถูกกล่าวหาในเรื่องการ “จาบจ้วง” สถาบันพระมหากษัตริย์
แม้ว่าที่ผ่านมา จำเลยพวกนี้มักจะอ้างว่า พวกเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่ตัดสินว่ามีความผิด แต่กฎหมายก็มีข้อยกเว้น และเป็นดุลพินิจของศาล หากผู้ต้องหาหรือจำเลยยังมีท่าทีเคลื่อนไหวกระทำในสิ่งที่ถูกฟ้องในแบบเดิมซ้ำๆ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่กระทบกับความรู้สึกของประชาชนจำนวนมาก เช่น การกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่หยุดหย่อน
ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับจำเลยบางคนที่เคยเคลื่อนไหวในแบบเดียวกันมาก่อน และถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแบบเดียวกัน ข้อหาเดียวกัน เช่น นายปฏิวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ “หมอลำแบงค์” ที่ได้รับการประกันตัวเป็นคนแรก โดยมีเงื่อนไขว่า จะไม่เคลื่อนไหวพาดพิงสถาบันฯให้เกิดความเสียหาย ไม่เคลื่อนไหวร่วมชุมนุมในลักษณะแบบเดิมอีก รวมไปถึงยืนยันว่าหากได้รับการประกันตัวออกไปจะประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงตัวเอง อะไรประมาณนี้
หรือแม้แต่กรณีของ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” และ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เพิ่งได้รับการประกันตัวไปพร้อมกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ยื่นเงื่อนไขต่อศาลในลักษณะคล้ายกัน ก็ได้ออกมาอยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยก็ได้มีเวลา “สุดดมอิสรภาพ” และมีอิสระในการต่อสู้คดี สามารถปรึกษาทนายความ และคนในครอบครัวสำหรับการต่อสู้คดีตามข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ ส่วนผลจะออกมาแบบไหนค่อยมาว่ากัน
ขณะที่หันมาพิจารณาแนวทางการต่อสู้ของ ทั้ง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่ยังยืนยันวิธีการแบบเดิม นั่นคือ ยังยืนยันหลักการเดิมตามความเชื่อของตัวเองว่า วิธีนี้จะได้ผล นั่นคือ อ้างถึงหลักการความบริสุทธิ์ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาความผิดออกมา รวมไปถึงใช้วิธีเคลื่อนไหวของมวลชนจากภายนอกร่วมกดดันศาล ประสานกับการเคลื่อนไหวอดอาหาร (แต่ ดื่มนม โอวัลติน ไมโล น้ำ เกลือแร่) หรือแม้แต่การมีท่าทีการเคลื่อนไหวในแบบ “ล้ำเส้น” นั่นคือ การ “ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม” การละเมิดอำนาจศาล เป็นต้น
แน่นอนว่า แนวทางการต่อสู้คดีในแบบดังกล่าว ถือว่าเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาหรือจำเลย หากเห็นว่าตัวเองได้ประโยชน์ หรือเห็นว่าถูกต้อง แต่ขณะเดียวกัน เมื่ออ้างว่าตัวเองต่อสู้เพื่อสาธารณะ ก็ต้องยอมรับได้กับเสียงวิจารณ์จากภายนอกถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของตัวเอง ว่าคนอื่นเขามีความเห็นอย่างไรด้วย
ล่าสุด “นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์” มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” ได้เดินทางมายื่นประกันตัวบุตรชายอีกครั้ง โดยอ้างว่า ขณะนี้ลูกชายมีอาการอ่อนเพลียมาก ผิวหนังมีลักษณะแห้ง มีอาการวูบตลอดเวลา และที่สำคัญคือ พบว่าถ่ายออกมาเป็นชิ้นเนื้อ จากลักษณะอาการที่เกิดขึ้น จึงต้องมายื่นขอประกันให้เร็วที่สุด แต่ทนายความบอกว่า มีโอกาสที่จะไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งตนเองก็ยังยืนยันว่าจะขอเดินหน้าประกันให้เต็มที่
นางสุรีย์รัตน์ กล่าวว่า หากวันนี้ผลออกมาว่า “เพนกวิน” ไม่ได้ประกันตัว คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเท่ากับเจตนาให้เพนกวินเสียชีวิตอย่างทรมาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกชายไม่ควรจะได้รับ แม้ว่าในเวลาต่อมาทางกรมราชทัณฑ์จะแถลงยืนยันว่า อาการของ นายพริษฐ์ แค่อ่อนเพลีย ไมได้มีอาการร้ายแรงแต่อย่างใด
แม้จะมีรายงานว่า มีความพยายามยื่นประกันกับจำเลยรายอื่นๆ ด้วย เช่น นายอานนท์ นำภา น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นายภาณุพงศ์ จาดนอก เป็นต้น แต่ที่ต้องโฟกัสไปที่ นายพริษฐ์ และ น.ส.ปนัสยา เนื่องจากสองคนนี้เลือกใช้วิธีอดอาหารเพื่อประท้วง หรือกดดันศาลให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวออกไปหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาตามเหตุผลที่มีการชี้แจงออกมาหลังการสั่งคดีทุกครั้ง แต่สำหรับหลายคนมองว่าวิธีการที่ทั้ง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ดำเนินการอยู่นั่นไม่น่าจะประสบความสำเร็จ
ตรงกันข้าม จะยิ่งกดดันรัดคอตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับกระแสจากภายนอก “แผ่ว” จนไม่มีแรงกระตุ้นใดๆเลย มันก็ยิ่งดำดิ่งลงเหว !!
