เมืองไทย 360 องศา
แม้หลายคนมองว่าการพูดถึงกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” รวมไปถึงพวกที่กำลังอดอาหารอยู่ในเรือนจำ เพื่อกดดันศาลจะตกเป็นเครื่องมือในการ “เรียกร้องความสนใจ” ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างก็ต้องว่ากันไปตามความจริง ไม่อาจบิดเบือนได้ หรือหากผิดเพี้ยนไปก็คงทำได้ไม่นานนัก อะไรประมาณนั้น
นาทีนี้คงยังต้องโฟกัสไปที่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” สองแกนนำม็อบสามนิ้ว ที่เลือกวิธีอดอาหารประท้วงในเรือนจำเพื่อกดดันศาลให้ได้รับการประกันตัวออกมา
แม้ว่าการอดอาหารที่ว่านั้น จะมีคนกระแหนะกระแหนว่า “ไม่ใช่อดจริง” เพราะการดื่มนม น้ำหวาน น้ำเกลือแร่ แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่อง “เด็กๆ” ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับในแนวทางของพวกเขา ประเภทที่ว่า “อยากทำก็ทำไป” นั่นแหละ
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ แนวทางที่ว่านั้นมันจะได้ผลจริงหรือเปล่า รวมไปถึงการเคลื่อนไหวโดยรวมรวมของพวกเขาที่กำลังประสานกันทั้งข้างในและข้างนอก เชื่อมโยงไปถึงต่างประเทศมันจะได้ผลจริงตามที่มีความพยายาม “สร้างกระแส” กันหรือเปล่า
ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ การอดอาหาร แต่ยัง “ดื่มนม น้ำหวาน น้ำเกลือแร่” ของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่มีการยกย่องเทียบชั้น “มหาบุรุษคานธี” ของอินเดีย ที่ต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียจากพวกจักรวรรดินิยมอังกฤษ ที่ต่อสู้แบบ “อหิงสา” ซึ่ง คานธี ไม่เคยหยาบคาย ไม่เคยให้ “ของลับ” คนอื่น ที่สำคัญแนวทางการต่อสู้ของเขาได้รับการขานรับไปทั่วประเทศ และจากทั่วโลก
ขณะที่หันมามองแนวทางการต่อสู้ของ “เพนกวินและรุ้ง” และ ม็อบสามนิ้ว มีเป้าหมายเพื่อสั่นคลอนโค่นล้ม “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในประเทศไทย คำถามก็คือ มีคนสนับสนุนกี่คน สามารถสร้างกระแสได้ในวงกว้างหรือไม่ เพราะนี่คือความจริงที่ต้องพิจารณาไม่อาจมองข้ามไปได้เป็นอันขาด
เพราะหากบอกว่านี่คือ เรื่องสาธารณะ แล้วมีคนสนับสนุนกี่คน รวมไปถึงคนที่ถูกระบุว่า “ชักใยอยู่เบื้องหลัง” สังคมให้ความเชื่อถือเครดิตในวงกว้างหรือไม่ และเมื่อย้อนกลับมาพิจารณาถึงเจตนาของพวกเขาที่เริ่มด้วยการมีเป้าหมายพุ่งตรงไปที่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่ภูมิใจกันว่า ทำในสิ่งไม่มีใครกล้าทำมาก่อน ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งก็เป็นเพราะ “ถูกยุ” ให้ทำนั่นแหละ
เพราะบรรดา “ผู้ใหญ่” ทั้งประเภท “หัวหงอกหัวดำ” ที่ดันหลังออกมานั้น “ไม่กล้าพอ” อีกทั้งยังเป็นยุทธวิธีที่เชื่อว่า “รัฐไม่กล้ารังแกเด็ก” อะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการกระทำแบบเดิมๆ ซ้ำๆ และนับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ มันก็ย่อมสะสมคดีดังที่เห็นกันอยู่แล้ว จากพฤติกรรมที่พวกเขาระบุว่า “ทะลุฟ้า” แต่คำถามก็คือ มัน “เวิร์ก” หรือเปล่า มีคนส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนแนวทางแบบนี้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญ สถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย ได้สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือไม่
เพราะเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจทุกครั้งก็ยังยืนยันชัดเจนว่า เสียงส่วนใหญ่เกินกว่า ร้อยละ 90 ยังต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่สังคมไทย เป็นองค์พระประมุขที่ประชาชนยังเทิดทูนบูชา
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาจากแกนนำฝ่ายสนับสนุน “ล้มเจ้า” ล้วนไม่มีเครดิตน่าเชื่อถือมากพอ ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นจากมวลชนที่เข้าร่วมชุมนุมในระยะหลังที่ลดน้อยลงไปเหลือแค่หลักร้อยเท่านั้น หลังจากรับรู้ว่าม็อบสามนิ้ว มีเจตนา "โค่นล้ม”หรือสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์
นั่นคือ การเคลื่อนไหวของพวกเขาที่เรียกว่า “ทะลุฟ้า” แต่หลังจาก “สะสมคดี” กระทำความผิดซ้ำในลักษณะเดิม และมีพฤติกรรม “ล้ำเส้น” มากขึ้นเรื่อยๆ จนถูกดำเนินคดีในคดีร้ายแรง อย่างความผิดเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเจตนา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หรือ หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ที่เป็นองค์ประมุขของชาติ ที่กฎหมายบัญญัติความผิดเอาไว้ชัดแจ้ง และนำไปสู่การ “เพิกถอน” และ “ห้ามประกันตัว” ในเวลาต่อมา ดังที่เห็นกันอยู่
อย่างไรก็ดี พวกเขายังไม่หยุดอยู่แค่นี้ ยังเคลื่อนไหวไปไกลกว่านั้นอีก นั่นคือ “ท้าทาย” ละเมิดอำนาจศาล ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน จนที่ผ่านมาถูกศาลสั่ง “คุมขัง” นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ มาแล้วเป็นเวลา 15 วัน
ล่าสุด นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้แจ้งต่อศาลว่า “ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม” ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นเพราะเขาไม่ได้รับการประกันตัว ทำให้ไม่อาจต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ หรืออย่างเป็นธรรม อีกทั้งยังอ้างอีกว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินความผิด ความหมายก็คือ “ไม่ยอมรับการพิจารณาคดีของศาล” ตราบใดที่เขาไม่ได้รับการประกันตัวออกไป
แน่นอนว่า ท่าทีแบบนี้ถือว่าเกินเลยไปกว่าประเภท “ทะลุฟ้า” เพราะมันไปไกลถึงขั้น “ทะลุจักรวาล” อันไกลโพ้นไปแล้ว เพราะหากถึงขั้นไม่ยอมรับศาล และกระบวนการพิจารณาคดีของศาล ที่เป็นหลักการสากล มันก็ถือว่า “เกินเยียวยา” แล้วจริงๆ !!