เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นข่าวยอดนิยมที่มีผู้เข้าไปคลิก mgrออนไลน์ กว่าสองหมื่นครั้ง เพื่อเข้าไปอ่านความเห็นที่ว่า หากนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” เสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วงในเรือนจำ จะทำให้เกิดการลุกฮือของประชาชน พร้อมกับเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งแก้ปัญหาก่อนที่จะสายเกินไป อะไรทำนองนั้น
แน่นอนว่า ในจำนวนคนที่คลิกเข้าไปดูข่าวดังกล่าว ย่อมต้องมีทั้งไม่เห็นด้วย และเห็นด้วย และ สำหรับ mgr แล้ว หากพิจารณากันตามความเป็นจริง ก็ย่อมต้องมีสัดส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยมากกว่าเห็นด้วยจนเทียบกันไม่ได้เลย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการพิจารณากันด้วยเหตุผลตามความเป็นจริงมากกว่า ว่า “มันจริงตามที่ว่าหรือไม่”
สิ่งที่พิจารณากันตามความเป็นจริงง่ายๆ มีไม่กี่อย่างเท่านั้น ก็สามารถโต้แย้งความเห็นดังกล่าวได้ไม่ยาก ก็คือ หนึ่ง การเรียกร้องต่อสู้ของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ คือเรื่องอะไรเป็นหลัก ก็คือ เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ มีคนในสังคมเห็นด้วยคล้อยตามมากหรือไม่ และที่สำคัญ สิ่งที่สังคมมองออกก็คือ พวกนี้มีเจตนา “ล้มล้าง” หรือไม่
ขณะเดียวกัน ยังมีคำถามควบคู่กันมาอีกว่า “สถาบันฯของไทยมีจุดอ่อนถึงขนาดต้องเปลี่ยนแปลงขนาดนั้นเลยหรือ”
คำตอบก็คือ ยังไม่ใช่ และสิ่งที่พิจารณาจากการเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ในหลากหลายชื่อ แต่ใช่สัญลักษณ์ “ชูสามนิ้ว” ผ่านการชุมนุมเคลื่อนไหวมานานหลายเดือน แต่ยิ่งนานยิ่งมีคนถอยห่าง จากหลักพันหลักหมื่น เหลือแค่หลักร้อย อาจจะเถียงว่ากลายเป็นกระแสของเด็กๆ คนรุ่นใหม่ ที่เห็นคล้อยตามจนกลายเป็นไอดอล แต่หากพิจารณามาจากเหตุการณ์ในอดีต แนวทางและอารมณ์แบบนี้ ก็เคยเกิดมาในทุกยุค ในอดีตก็เคยเรียกพวกนักศึกษา เป็นพวกปัญญาชนและอยู่ในช่วงแสวงหา ร้อนวิชาตามตำรา แต่เมื่อเติบใหญ่ต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ก็ต้องฟังคนอื่น อยู่ร่วมกับคนอื่น ความคิดความอ่านก็จะเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นพวก “ซ้ายจัด” จนถึงเวลาหนึ่งกลับกลายเป็น “นายทุนเอาเปรียบ” หน้าตาเฉยก็มี
สอง สังคมไทยในเวลานี้มีความกดขี่ แบ่งแยกกันอยู่ในขั้นเลวร้ายขนาดนั้นจริงหรือไม่ แน่นอนว่า หากกล่าวแบบเอามัน ก็ต้องบอกว่าใช่ และในความเป็นจริงมันก็มี แต่หากไม่อคติเกินไปมันก็สามารถเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองได้
สาม เมื่อวกกลับมาเข้าใกล้กรณีของ “เพนกวิน” อีกที ก็ต้องย้ำว่า การอดอาหารประท้วงของเขา (ยังดื่มนม และน้ำเกลือแร่ น้ำ) ที่บอกว่าผ่านมาร่วมเดือนนั้น มีเจตนาเพื่อกดดันและต่อรองกับศาลต่างหาก ไม่ได้มีใครบังคับให้เขาต้องทำแบบนั้น และด้วยระบบคิดความเชื่อของตัวเองที่ว่าตัวเองยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่ตัดสินว่ามีความผิด ย่อมมีสิทธิ์ได้รับการประกันตัวออกมาระหว่างการพิจารณาคดีนั้น นั่นอาจจะใช่ แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด แล้วศาลต้องมีองค์ประกอบทางกฎหมายอื่นๆ ในการพิจารณา ซึ่งที่ผ่านมาในการยื่นคำร้องขอประกันตัวในช่วงแรกๆ ศาลก็ได้อธิบายเหตุผลถึงสาเหตุที่ต้องยกคำร้องมาให้พิจารณาทุกครั้ง และที่สำคัญ ล้วนเป็นดุลพินิจของศาลว่า จะมีคำสั่งอย่างไร และทุกอย่างย่อมต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายแน่นอน
นอกเหนือจากนี้ พฤติกรรมของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ยังมีลักษณะ “ละเมิดศาล” อย่างต่อเนื่อง และล่าสุด ก็เคยถูกศาลสั่งขังเป็นเวลา 15 วันมาแล้ว จากการสร้างความวุ่นวายในห้องพิจารณาคดี
แน่นอนว่า สำหรับบางคนในช่วงวัยรุ่นอาจจะมอง “ดูเท่” ที่แสดงออกเหมือนกับมีความกล้าที่ได้ท้าทายศาล แต่มันก็ไม่ได้มีความหมายใด เพราะตัวเองต้องถูกจำคุก สะสมคดีไปเรื่อยๆ
เหมือนกับกรณีของการต่อรองกดดันศาล ของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และบรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วในเวลานี้ หากพิจารณากันแบบทำความเข้าใจก็น่าจะมีเจตนาเพื่อ “กระทบชิ่ง” เพราะทราบกันดีว่าศาลทำหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย นั่นเอง
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ยิ่งนานไปแนวร่วมยิ่งถอยห่าง และยังกลายเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับ “กลุ่มอำนาจ 3 ป.” มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะเป็นการเรียกร้องผิดทิศผิดทาง มีแต่คนถอยห่าง
จนบางครั้งเชื่อว่า หลายคนก็อดไม่ได้ที่อยากพิสูจน์เหมือนกันว่า ลองตายดูมั้ยว่าจะมีลุกฮือหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นความคิดที่อำมหิตก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากสาเหตุ และสถานการณ์ที่เป็นอยู่ยังมั่นใจเกินร้อยว่าไม่เกิดขึ้นแน่นอน !!