เมืองไทย 360 องศา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเชื่อส่วนตัว หรือได้รับการสั่งสอนยุยงมาจากอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนเป็นศาสดาคนไหน จึงทำให้แกนนำ “ม็อบสามนิ้ว” บางคน ถึงกับ “ห้าวเป้ง” กระทำการ “ท้าทายศาล” ในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน หรือเป็นเพราะคิดว่า ทำแบบนั้นแล้ว “เท่” กลายเป็น “ไอดอล” ให้เพื่อนๆ ได้เห็นเป็นตัวอย่าง ทำนองว่า “ข้าแน่” แบบเรียกความสนใจตามประสาวัยรุ่นคึกคะนอง ที่ต้อง “สร้างปมเด่น” ขึ้นมาหรือเปล่า
พฤติกรรมของจำเลยในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามความผิดมาตรา 112 ความผิดตามมาตรา 116 ที่เกี่ยวกับการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และอีกหลายคดี ของพวกแกนนำม็อบสามนิ้ว ที่มี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นายอานนท์ นำภา น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” กับพวก ที่ก่อความวุ่นวายในห้องพิจารณาคดีระหว่างการไต่สวนพยานหลักฐานนัดแรก เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา
นายพริษฐ์ ได้ยืนบนเก้าอี้ในห้องพิจารณาคดี เพื่ออ่านแถลงการณ์ที่ได้เตรียมมา โดยอ้างว่าเป็นการระบายความอึดอัดใจ โต้แย้งศาลที่พวกเขาไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี โดยเปรียบเทียบกับกรณีของแกนนำ กปปส. ที่ถูกศาลตัดสินความผิดไปแล้ว แต่กลับได้รับการประกันตัวในชั้นศาลอุทธรณ์ รวมไปถึงไม่ต้องถูกตัดผมอีกด้วย ความหมายก็คือ “สองมาตรฐาน” หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม อะไรประมาณนั้นแหละ
ในวันนั้น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ยังได้ประกาศอดอาหารประท้วงศาลจนกว่าจะได้รับการประกันตัวออกไป โดยอ้างว่าจะขอดื่มแต่นม น้ำหวาน และน้ำดื่ม เท่านั้น
ตามรายงานข่าวยังบอกว่า เหตุการณ์ในวันนั้นหลังจากที่ศาลสั่งห้ามไม่ให้ นายพริษฐ์ ได้อ่านแถลงการณ์ในห้องพิจารณาคดี เนื่องจากผิดระเบียบจนต้องมีการย้ายห้องการพิจารณา โดยระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย โต้เถียง มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในห้องพิจารณาคดีและขว้างขวดน้ำลงบนพื้น แสดงความไม่พอใจออกมา
และก็ตามคาด เมื่อศาลได้นัดไต่สวน นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งหากมีความผิด ก็จะต้องโทษจำคุกเพิ่มเข้ามาอีก โดยโทษจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล สูงสุด 6 เดือน ปรับ 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ก็ไม่รู้ว่าจะออกแบบไหน แม้ว่าพอคาดเดาได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องรอคำสั่งศาลออกมาก่อน
เอาเป็นว่าหากคิดว่า “พฤติกรรมที่ทำ เป็นเรื่องเท่ มีความกล้าหาญที่สุดในปฐพี ก็ทำไป” คงไม่มีใครไปขัดคอ เพียงแต่ว่าผลออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับ เพราะเมื่ออายุเกินยี่สิบปีแล้วถือว่าบรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ใหญ่แล้ว คงจะใช้สิทธินักเรียนนักศึกษาลดครึ่งราคาคงไม่ได้
ขณะเดียวกัน เมื่อเข้าสู่ “กระบวนการยุติธรรม” ก็ถือว่าเป็นกติกาที่ต้องยอมรับ แม้ว่าจะไม่ถูกใจก็ตาม เพราะทุกคนที่ต้องคดีความก็ต้องเดินในเส้นทางเดียวกัน นั่นคือ การชี้ขาดจากศาล
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เห็นในเวลานี้ ก็คือ พฤติกรรมของบรรดา “ม็อบสามนิ้ว” เท่าที่สังเกตเห็น ก็คือ ไม่มีท่าทีเคารพศาล ตรงกันข้ามกลับพยายาม “ดึงศาลลงมาเป็นคู่ขัดแย้ง” ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และแน่นอนว่า พฤติกรรมแบบนี้หากพิจารณากันให้ลึกซึ้ง มันก็เหมือนมีเจตนา “กระทบชิ่ง” เนื่องจากศาลกระทำการภายใต้พระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือเปล่า
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เป้าหมายของพวกเขาก็คือ มีเจตนา “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” อย่างชัดเจน และแกนนำหลักๆ ต่างก็ถูกดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีคดียาวเป็นหางว่าว เรียกว่า หากมีความผิดจริงก็น่าจะมีโทษจำคุกกัน “นับร้อยปี” เลยทีเดียว เพราะแต่ละคนล้วนสะสมคดีกันไม่หยุดหย่อน กระทำซ้ำ จนเป็นสาเหตุหลักที่ศาลยกคำร้องประกันตัว หรือปล่อยตัวชั่วคราว โดยเหตุผลหลักนอกจากไม่หยุดพฤติกรรมทำผิดซ้ำกระทบต่อจิตใจของคนจำนวนมากแล้ว ยังมีเรื่องของอัตราโทษสูงที่เกรงจะหลบหนีอีกด้วย
ขณะที่อีกด้านหนึ่งพฤติกรรมและท่าทีดังกล่าวของบรรดาแกนนำม็อบสามนิ้ว ที่เริ่มขมวดปมมาเป็นลักษณะของการ “ข่มขู่ศาล” ดึงศาลลงมาเป็นคู่ขัดแย้ง แม้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้ แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณาในเรื่อง “ตรรกะ” ถือว่าเป็นเรื่องพิลึก ซึ่งไม่รู้ว่าต้นคิดมาจากไหน มาจาก “คิดเอง” หรือว่าเชื่อคำยุยงของอาจารย์บางคนที่อยู่เบื้องหลังเด็กๆ “เยาวชน” พวกนี้ เป้าหมายก็เพื่อ “กระทบชิ่ง” และต้องการทำลายความน่าเชื่อถือลงไป ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้าและเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ บรรดาแกนนำที่เป็นเยาวชนพวกนี้จะมีการ “สะสมคดี” เพิ่มขึ้นไปอีก จะต้องติดคุกเพิ่ม ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากหนทางการต่อสู้ในแบบที่เป็นอยู่ก็น่าเหมือนดังที่ นักกฎหมายที่มีประสบการณ์บางคนได้กล่าวเอาไว้ว่า การเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่ต่างจากการ “เอาหัวชนกำแพง” ไม่มีทางได้ผล
เพราะวิธีการข่มขู่ศาล เพื่อให้ข้อเรียกร้อง และสร้างแรงกดดันให้ตัวเองได้รับการประกันตัว รวมไปถึงไปถึงเป้าหมายสูงสุด จะได้รับชัยชนะนั้นเลือนรางแบบเพ้อฝันจริงๆ !!