เมืองไทย 360 องศา
ก็น่าเห็นใจเหมือนกัน สำหรับคนในครอบครัวของจำเลยที่ไม่ได้รับการประกันตัว ไม่ว่าจะในชั้นไหน ชั้นสอบสวน ชั้นอัยการ และชั้นศาล เพราะเท่ากับว่า เป็นการสูญเสียอิสรภาพ แม้ว่าตามขั้นตอนแล้ว ถือว่ายังมีโอกาส เพราะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่ถึงที่สุด
แต่สำหรับบรรดา “แกนนำมีชื่อ” ของกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์-นายอานนท์ นำภา-นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข-นายภาณุพงศ์ จาดนอก-น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล-นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา
นาทีนี้ถือว่าความหวังในเรื่อง “อิสรภาพชั่วคราว” ระหว่างการพิจารณาคดีนั้น น่าจะหมดลงแล้ว
ว่ากันเฉพาะขั้นตอนในช่วงระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล เพียงแค่คดีแรกเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายคดียาวเป็น “หางว่าว” ในความผิดเดียวกัน ต่างกรรมต่างวาระต่อเนื่องกันแทบจะรายวันที่พวกเขาก่อเหตุ โดยในตอนนั้นกล่าวอย่างมั่นใจว่าเป็นการเคลื่อนไหวแบบ “เบิ้มๆ” ที่ไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อน โดยเฉพาะการจาบจ้างพระมหากษัตริย์ ที่เป็นพระประมุขของชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์โดยรวม ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับคนไทยจำนวนมากที่ยังจงรักภักดี
ที่ต้องบอกว่า โอกาสที่จะได้รับอิสรภาพ (ชั่วคราว) นั้น ริบหรี่เต็มทน หรือแทบมองไม่เห็นเลย เมื่อพิจารณาจากเหตุผลในคำสั่งยกคำร้องของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ เป็นตัวอย่างจากกรณีที่ “4 แกนนำสามนิ้ว” ชุดแรกที่ไม่ได้รับการประกันตัวจากการยื่นขอประกันตัวครั้งแรกจนถึงครั้งที่ 4-5 เนื่องจากศาลพิจารณาจากพฤติการณ์ของคดีของจำเลยว่าเป็นการกระทำความผิดในลักษณะไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทำผิดซ้ำ และกรณีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ที่กระทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะย่ำยีความรู้สึกของคนไทย ความหมายประมาณนี้ อีกทั้งความผิดมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวเกรงจะหลบหนี
แม้ว่าที่ผ่านมา ครอบครัวของจำเลยจะพยายามยื่นคำร้องอ้างในเรื่องสุขภาพของจำเลย ผลกระทบด้านการศึกษา มีการระดมรายชื่อนักวิชาการทั้งหนุ่ม ทั้ง “สูงวัย” เช่น นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมเป็นร้อยคน รวมไปถึงใช้พวก ส.ส.พรรคก้าวไกล ในเครือข่ายเดียวกัน และมีการเพิ่มหลักทรัพย์ ก็ไม่ได้ผล ศาลยกคำร้อง
เพราะประเด็นสำคัญก็คือ ถ้าปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว หนึ่ง เกรงจะหลบหนี เพราะอัตราโทษสูง สอง “ยังเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายไม่เลิก” การเคลื่อนไหวกระทบกระเทือนจิตใจประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยยืนยันต่อศาลในประเด็นนี้ ตรงกันข้ามมีแต่การเคลื่อนไหวที่ “จาบจ้วง” ไม่เลิก
เมื่อเป็นแบบนี้ มันก็ทำให้ “โอกาสปิด” อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากคำสั่งศาลครั้งล่าสุดที่บอกเหตุผลชัดเจนที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเดิมได้ เมื่อเป็นแบบนี้ สำหรับ 4 คนแรก ก็ถือว่า “จบในคุก” จนกว่าจะมีการพิจารณาคดีเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลานาน 1-3 ปี แต่อย่างที่รู้กันว่านี่เป็นเพียงแค่คดีแรกเท่านั้น ยังมีอีกนับสิบที่เป็นความผิดในลักษณะเดียวกันจ่อคิวยาวเป็นหางว่าว
การที่ได้เห็นภาพการกอดกันร่ำให้ของคนในครอบครัวของ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” กับพวกในชุดที่สองที่ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวไปขังที่เรือนจำหลังจากศาลอาญาไม่ให้ประกันตัว ก็น่าเห็นใจ เพราะเข้าใจถึงความรู้สึก แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเป็นความผิดตามกฎหมาย ที่กำหนดเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้ว หากละเมิดก็ต้องมีความผิด และที่สำคัญ ตัว นายจตุภัทร์ ก็เคยถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปี ในความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นมาแล้ว ดังนั้นการถูกดำเนินคดีในความผิดเดิม และเหิมเกริมกว่าเดิม ก็น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่ได้รับการประกันตัว
แม้ว่าฝ่ายสนับสนุนม็อบสามนิ้ว จะอ้างเหตุผลว่าคดียังไม่ถึงที่สุด และให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ายังเป็นบริสุทธิ์ ต้องปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดีนั้น ก็อาจจะถูกต้องในบางแง่มุม แต่ขณะเดียวกัน หากปล่อยตัวไปแล้วแต่จำเลยยังมีพฤติกรรมแบบเดิม ไปละเมิดจาบจ้วงไม่เลิก ละเมิดสิทธิ์ สร้างความเดือดร้อนรำคาญเหมือนเดิม
มันก็ “ชอบ” ที่ศาลจะไม่ให้ประกันตัว
หรือในคำแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ออกมาทันทีที่นอกจากอ้างในเรื่องของหลักการกฎหมายดังกล่าวแล้ว ยังอ้างเรื่องผลกระทบด้านการศึกษาของจำเลยบางคน มันก็ยิ่งสร้างความขบขันให้กับสังคมมากขึ้นไปอีก เพราะหากจะอ้างตัวเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงสังคม บ้านเมือง ก็ต้องรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเจออะไรบ้าง ไม่ใช่ทำความผิดแล้ว “ขอตีตั๋วเด็ก” อะไรประมาณนี้
แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันแบบเข้าใจ ก็ต้องถือว่าเป็นความพยายามกันทุกทางเพื่อสร้างแรงกดดันช่วยเหลือพวกเดียวกันของอาจารย์บางคนที่ “แอบ” อยู่หลังม็อบพวกนี้ ที่พยายามใช้ชื่อสถาบันการศึกษาออกแถลงการณ์
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาโดยภาพรวม และพฤติการณ์แห่งคดี เปรียบเทียบกับ 4 จำเลย ที่ถูกยกคำร้องปล่อยตัวชั่วคราว หลังจากมีความพยายามยื่นเข้าไปถึง 5 ครั้ง ยกข้ออ้างสารพัด แต่ศาลก็ยกคำร้องไม่มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งแต่อย่างใด
ดังนั้น แกนนำสามนิ้วในชุดหลังก็จบเห่ “คุกยาว” ไป ถือว่า “ครบชุด” จบในที่เดียว !!