เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุด เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของจำเลย คือ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หนึ่งในสี่จำเลยในคดีความผิดตาม มาตรา 112 มาตรา 116 รวมทั้งความผิดอีกหลายกระทง จากการชุมนุม “ม็อบเฟส” ที่สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 14-15 พ.ย. 63 และการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 63 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ แม้ว่ามารดาของจำเลยจะอ้างต่อศาลในเรื่อง “การสอบ” ปัญหาสุขภาพ รวมไปถึงการใช้เงินสดจำนวน 1 ล้านบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราว หรือขอประกันตัวระหว่างการพิจารณาก็ตาม
ที่น่าสนใจก็คือ ในคำสั่งของศาลอาญาได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ให้ประกันตัว โดยศาลพิเคราะห์ว่า คดีนี้ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว และศาลนี้ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ผู้ร้องอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า เกรงว่าจำเลยจะไปก่อเหตุร้ายอีก หลังจากนั้น ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว และอุทธรณ์คำสั่งขอปล่อยชั่วคราวอีกหลายครั้ง ศาลนี้เห็นว่า การที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวและได้ให้เหตุผลไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ย่อมเป็นการยุติว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของศาลชั้นต้นนั้นถูกต้องแล้ว
แม้กฎหมายจะอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวใหม่ได้ แต่การยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวใหม่ ซึ่งจะมีผลให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้นั้นต้องปรากฏว่า เป็นกรณีที่มีพฤติการณ์แห่งคดีได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าในเหตุลักษณะคดี เช่น มีการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วปรากฏพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 อนุสอง หรือมีพฤติการณ์เกี่ยวกับจำเลยอันแสดงว่าจำเลยนั้นจะไม่หลบหนีหรือไม่สามารถไปก่อเหตุร้ายอื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากไม่มีข้อเท็จจริงในทางคดีที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมไม่มีเหตุที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ ศาลไม่จำต้องระบุเหตุผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ใหม่ เพราะเท่ากับจะเป็นการคัดลอกข้อความที่ศาลนี้ และศาลอุทธรณ์ได้เคยมีคำสั่งไว้แล้ว ยิ่งเมื่อศาลนี้ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามต่อเนื่องกันมาหลายครั้ง หากศาลจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยไม่มีเหตุ ย่อมเป็นการวินิจฉัยคดีตามอำเภอใจไม่เป็นแนวทางที่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าจำ เลยที่ 1 อาจเจ็บป่วย เพราะมีโรคประจำตัวนั้น ขณะนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยจริงจนถึงขนาดไม่สามารถรักษาพยาบาลภายในเรือนจำได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 เป็นนักศึกษานั้น มีเพียงเหตุผลให้คาดคะเนได้ว่า จะไม่สะดวกในการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงชัดเจนว่าจะกระทบต่อการเรียนของจำเลยที่ 1 อย่างชัดเจนร้ายแรงอย่างไร
ส่วนการดูแลครอบครัวและการประกอบอาชีพของจำเลยอื่น ก็เป็นเหตุความขัดข้องทั่วไปของบุคคลซึ่งต้องคดียังไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมว่าจำเลยทั้งหมดได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจนถึงขนาดที่จะมีผลเพราะให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลสั่งไว้โดยชอบแล้ว ยกคำร้อง
พิจารณาจากคำสั่งศาลอาญาดังกล่าว ถือว่าให้เหตุผลได้อย่างครอบคลุมเอาไว้ในทุกเรื่องแล้ว ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรมทำความผิดซ้ำ พฤติกรรมการหลบหนี เนื่องจากความผิดมีอัตราโทษสูง รวมไปถึงข้ออ้างในเรื่องโรคประจำตัว ความจำเป็นเรื่องการดูแลครอบครัวการประกอบอาชีพ รวมไปถึงเรื่องการศึกษา
ทั้งหมดล้วนฟังไม่ขึ้น ไม่มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ที่สำคัญ ศาลยังบอกอีกทำนองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับจำเลยก็ล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ต้องคดีอยู่แล้ว และที่สำคัญ ศาลยังระบุในคำสั่งยกคำร้องปล่อยตัวชั่วคราวในครั้งนี้อีกว่า ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามต่อเนื่องมาหลายครั้ง หากครั้งนี้ศาลมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีเหตุ “ย่อมเป็นการวินิจฉันตามอำเภอใจ ไม่เป็นแนวทางที่ชอบด้วยกฎหมาย”
หากพิจารณาและทำความเข้าใจแบบบ้านๆ ความหมายก็คือ “อย่าพยายามอีกเลย” หากไม่มีเหตุผลหรือมีพฤติกรรมแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมไม่มีโอกาสได้ประกันตัว ซึ่งหากจะให้คำแนะนำ ครอบครัวและทนายความของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่อาจจะได้รับความเมตตา ก็ลองเปลี่ยนแปลงเหตุผลใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยืนยันว่า “ผมจะไม่ออกมาเคลื่อนไหวกระทำผิดซ้ำแบบเดิมอีก” หากเป็นแบบนี้ ก็อาจมีลุ้นได้ประกันตัวได้บ้าง
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างอยู่ที่ดุลพินิจของศาล แต่หากโฟกัสเฉพาะคำสั่งศาลอาญา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ให้เหตุผลว่า ทำไมถึงต้องยกคำร้องปล่อยตัวชั่วคราว นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” แม้จะมีความพยายามยื่นคำร้องมาไม่น้อยกว่า 5 ครั้งแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง
ดังนั้น หากให้พิจารณาก็ต้องบอกว่า สำหรับ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ กับพวกอีก 3 คน ที่เป็นจำเลยในชุดเดียวกัน และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี เมื่อคำสั่งศาลออกมาแบบนี้ ก็ต้องถือว่า “จบแล้ว” ความหมายก็คือ ไม่ต้องพยายามขอประกันอีกแล้ว เพราะคงไม่ผ่าน ต้องทำใจรอจนกว่าการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น ซึ่งตามขั้นตอนก็ต้องใช้เวลานานนับปี ดังที่ทราบกันดี แต่ที่ต้องทำใจหนักกว่านั้น ก็คือ นี่แค่เริ่มคดีแรกเท่านั้น ยังมี “เบิ้มๆ” อีกเป็นสิบ ซึ่งเจ้าตัวประกาศอย่างภาคภูมิใจ
ขณะเดียวกัน ยังเป็นการชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มสำหรับพรรคพวกสำหรับแกนนำม็อบสามนิ้วที่เหลืออีกชุดใหญ่จำนวน 18 คน ที่ทางอัยการนัดสั่งฟ้องในความผิดเดียวกันวันที่ 8 มีนาคมนี้ และหนึ่งในจำนวนนั้นก็ดันมีชื่อของ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ โดยหนึ่งสามคดีที่เจอ ก็คือ กรณี “เผาพระบรมฉายาลักษณ์” รวมอยู่ด้วย ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะได้ประกันตัวหรือไม่ !!