เมืองไทย 360 องศา
มองในบางมุมก็น่าเห็นใจเหมือนกัน กับการที่พวก “แกนนำม็อบสามนิ้ว” ในไทยพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองได้พ้นคุก (ชั่วคราว) โดยเฉพาะการเรียกระดมมวลชนออกมาชุมนุมกดดันให้ตัวเองได้รับการปล่อยตัว หรือการประกันตัวออกมา หลังจากเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีแกนนำจำนวนหนึ่งที่ศาลสั่งห้ามประกันตัวระหว่างถูกดำเนินคดีในหลายข้อหา โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับการละเมิดพระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่อัยการสั่งฟ้องต่อศาลอาญาดังกล่าว
ทั้งนี้ อัยการได้สั่งฟ้องคดี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นายอานนท์ นำภา นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ และ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาที่ 1-4 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร โดยคดีมี 2 สำนวน เรื่องแรก (คดีชุมนุมม็อบเฟสต์) มีผู้ต้องหารายเดียวคือ นายพริษฐ์ ในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตาม ป.อาญา ม.112 ยุยงปลุกปั่นฯ ตาม ป.อาญา ม.116 และชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 ได้มีคำสั่งฟ้องทั้ง 3 ข้อหา
อีกสำนวน (คดีชุมนุม 19-20 ก.ย. 63 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-สนามหลวง) กล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสี่ ในข้อหาตาม ม.112, ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กีดขวางทางสาธารณะฯ ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ ทำลายโบราณสถานฯ ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ รวม 11 ข้อหา พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ทุกข้อหา
ต่อมาจำเลยทั้งสี่ ได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว แต่ศาลมีคำสั่งว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง อีกทั้งการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระ ตามข้อกล่าวหาเดิมหลายครั้งหลายครา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง แจ้งคำสั่งให้ทราบและคืนหลักประกันทั้งสองสำนวน จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ก็ควบคุมตัวจำเลยทั้งหมดเข้าไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที ทั้งนี้ ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายทั้งสองคดี โดยนัดวันที่ 15 มีนาคม เวลา 09.00 น.และ เวลา 13.30 น.ตามลำดับ
หากพิจารณาจากที่เห็นแบบนี้ความหมายก็คือ “เริ่มนับหนึ่งคุก” แล้ว และเมื่อพิจารณาจากคำสั่งศาลที่ห้ามปล่อยตัวชั่วคราวของ “แกนนำมีชื่อ” พวกนี้แล้ว ก็ทำให้เห็นว่าโอกาสที่ได้เห็นเดือนตะวันข้างนอก “ริบหรี่” มีน้อยกว่าน้อย
“พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง อีกทั้งการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระ ตามข้อกล่าวหาเดิมหลายครั้งหลายครา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก” นั่นคือ ความตอนหนึ่งของคำสั่งศาล ที่ยกคำร้องหรือห้ามปล่อยตัวชั่วคราว
ความหมายก็คือ พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ตามข้อกล่าวหาเดิมหลายครั้ง หากปล่อยตัวไปก็จะทำแบบเดิมอีกนั่นเอง ทำให้มองเห็นแนวโน้มค่อนข้างชัดแล้วว่าพวกเขา โดยเฉพาะแกนนำหลัก อย่าง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นายอานนท์ นำภา รวมไปถึงแกนนำสามนิ้วที่เหลือที่ยังไม่ถูกสั่งฟ้องในคราวเดียวกันนี้ เช่น น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” ที่โดนคดีทำนองเดียวกันน่าจะต้องโดนในแบบเดียวกัน นั่นคือ ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกไป
แม้ว่าตามขั้นตอนแล้ว จำเลยสามารถยื่นขออุทธรณ์คำสั่งศาล โดยร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวได้ทุกวัน แต่หากไม่มีเหตุผลเพียงพอ หรือมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมแล้วก็บอกได้คำเดียวว่า “ยาว” เหมือนกับที่เวลานี้บรรดาแกนนำพยายามทำทุกวิถีทาง โดยเฉพาะการปลุกระดมมวลชนออกมาชุมนุมเพื่อกดดันให้ปล่อยตัว เพราะรับรู้ว่าโอกาสของอิสรภาพภายนอกนั้นริบหรี่เต็มทน
เพราะหากพิจารณาจากข้อมูลเดิมที่รับรู้มา จะพบว่า แกนนำสามนิ้ว ในจำนวน 4 คนดังกล่าว ต่างมีคดีติดตัวในเวลานี้คนละหลายสิบคดี บางคนโดยเฉพาะ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ น่าจะเกินร้อยคดี และยังไม่มีทีท่าจะว่าหยุดอยู่กับที่ ตรงกันข้ามมีแต่เพิ่มขึ้น เพราะเขาบอกว่ามีแต่เรื่อง “เบิ้มๆ” ดังนั้น คดีที่ต้องโดนมีก็ต้อง “เบิ้มๆ” ตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาตามขั้นตอนทางคดีแล้ว จะเห็นว่า เริ่มเข้าสู่ชั้นอัยการและเริ่มสั่งฟ้องศาลกันบ้างแล้ว ดังตัวอย่างคดีของ นายอานนท์ และ นายพริษฐ์ กับพวกเป็นประเดิม และก็ “โป๊ะเช๊ะ” คุกทันที เช่นเดียวกัน แม้ว่าเป็นการควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาคดีก็ตาม แต่เมื่อไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นศาลออกมา มันก็ต้องอยู่ยาว และปัญหาก็คือ จำเลยแต่ละคน โดยเฉพาะ“ แกนนำมีชื่อ” ที่ว่า รวมทั้งคนที่ยังอยู่ข้างนอกยังไม่ถึงคิวสั่งฟ้องในตอนนี้ มีคดีติดตัวนับร้อยคดี มันถึงได้บอกว่าต้อง “ทวีคูณจำนวนจำคุก” เพราะหากพิจารณาจากคดีความผิด มาตรา 112 รวมกันแล้วก็เป็นไปได้ที่อาจรวมกัน “เป็นร้อยปี” เลยทีเดียว แม้ว่าตามกฎหมายแล้วจำคุกจริงได้ไม่เกิน 50 ปีก็ตาม
แต่ที่น่าจับตาก็คือ เป็นการปลุกระดมมวลชนให้ออกมาช่วยกดดันในช่วงบรรยากาศ “ขาลง” นี่สิ โดยล่าสุดนัดหมายกันออกมาในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ โดยพยายามสร้างสีสันชักชวนกัน “ตีหม้อ” เคาะกะละมัง แบบพม่าหรือเมียนมา ที่คนที่นั่นเขาชุมนุมต้านเผด็จการของจริง แต่สำหรับที่ประเทศไทย กำลังออกมาในลักษณะ “ขบวนการล้มเจ้า” ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีมวลชนที่ออกมาประเภท “คนกันเอง” เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่เวลานี้นับจำนวนรายหัวได้
ดังนั้น นาทีนี้มองอีกมุม มันก็น่าเห็นใจที่พวกเขาต้องพยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้ว น่าจะยากจนแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะนี่คือขั้นตอนในชั้นศาลแล้ว และเพิ่งนับแค่ “คดีแรก” เท่านั้น ยังมีอีกนับร้อย ที่จะทยอยตามมาสั่งฟ้องในศาล ซึ่งน่าจะจบแบบ “เบิ้มๆ” ยาวๆ !!