เมืองไทย 360 องศา
ยังมีความเคลื่อนไหว มีกิจกรรมออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง สำหรับจำเลยในคดีดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามความผิด มาตรา 112 และความผิด มาตรา 116 รวมไปถึงความผิดอีกหลายข้อหา กรณีการชุมนุมปักหมุดท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน 2563
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา ศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นายอานนท์ นำภา น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน และ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธ์ หรือ แอมมี่ ในคดีที่ถูกฟ้องร่วมกับแกนนำและแนวร่วมม็อบคณะราษฎร รวม 22 คน
โดยศาลไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี พร้อมระบุว่า เป็นมาตรการป้องกันโรคระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งการพิจารณาตรวจพยานหลักฐานในช่วงเช้ายังไม่แล้วเสร็จจะต้องพิจารณาต่อในช่วงบ่าย
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีเกือบจะมีความวุ่นวาย หลังจาก นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หนึ่งในจำเลย พร้อมด้วยจำเลยอีกหลายคนพยายามที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของศาล ที่ไม่อนุญาตให้มีการแถลงใดๆ ในที่เปิดเผย แต่ นายพริษฐ์ ก็ยังได้ประกาศถึงความอึดอัดใจ และแสดงความข้องใจที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดี โดยยังอ้างถึงหลักการว่า ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะคดียังไม่มีคำตัดสิน พร้อมทั้งเปรียบเทียบกรณีของแกนนำ กปปส. ที่คดีมีการตัดสินแล้ว แต่ก็ยังได้รับการประกันตัว รวมถึงไม่มีการตัดผมอีกด้วย
โดย นายพริษฐ์ ยังได้ประกาศว่าจะอดข้าวประท้วงจนกว่าจะได้รับการประกันตัวออกมาต่อสู้คดี โดยระหว่างนี้ขอดื่มแต่น้ำเท่านั้น และยังมีรายงานว่า ในระหว่างนั้น มีมวลชนบางส่วนรู้สึกไม่พอใจและมีอารมณ์ร่วม ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ถึงกับขว้างขวดน้ำลงบนพื้น พร้อมกับกรีดร้องออกมาเสียงดัง
ที่น่าสนใจก็คือ มีคนที่นำเรื่องดังกล่าวมาเปิดเผยข้างนอก ก็คือ นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ไบรท์ แกนนำเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี หนึ่งในจำเลยทั้งหมด 22 คน ซึ่งก่อนหน้านี้ ศาลให้ประกันตัวออกมา เป็นคนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงเรื่องดังกล่าว
แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของบรรดา “ม็อบสามนิ้ว” พวกนี้ ก็ยังวนเวียนอยู่กับความเชื่อเดิมๆ ความมั่นใจของตัวเอง ขณะเดียวกัน กลับมองเปรียบเทียบคดีของอีกฝ่ายไปอีกแบบ ที่มีความหมายในลักษณะบิดเบือน หรือมีเจตนาเพื่อโจมตีศาลในทำนอง “สองมาตรฐาน” ไม่ให้ความเป็นธรรมกับพวกเขา โดยพยายามตอกย้ำในเรื่องของแกนนำ กปปส. ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาความผิดออกมาแล้ว และได้รับการประกันตัว
ขณะที่พวก “สามนิ้ว” พยายามยกข้ออ้างว่าคดีของพวกเขาเพิ่งจะเริ่ม บางคดีแค่เริ่มตรวจหลักฐานพยาน แต่กลับไม่ได้รับการประกันตัว จับไปขังคุก ไม่ได้รับความเป็นธรรม อะไรประมาณนั้น ซึ่งมีเจตนาพูดแบบฉาบฉวย หรือต้องการสื่อสารให้คนอื่นเห็นไปแบบนั้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สาเหตุที่บรรดาแกนนำสามนิ้ว (บางคน) ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดีนั้น มาจาก “พฤติกรรม” ที่ไม่ยอมหยุดกระทำในแบบเดิม หากเปรียบเทียบความหมายให้เข้าใจง่าย เช่น “หากปล่อยคนพวกนี้ออกไป เขาก็ยังไม่หยุดตีหัวพ่อที่หลายคนรัก” หรือยังไม่หยุดทำร้ายคนอื่น เป็นพฤติกรรมที่สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายกับคนอื่น และที่ผ่านมา ศาลก็เคยอนุญาตให้ประกันตัวหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด ยังประกาศท้าทายว่าจะทำแบบ “เบิ้มๆ” ต่อไป มันก็ต้องโดนแบบนี้ และที่สำคัญ มันเป็นดุลพินิจของศาลตามกระบวนการยุติธรรม
ขณะที่หากนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของ แกนนำ กปปส. จะถูกจะผิดอย่างไรแล้วแต่มุมมอง แต่สิ่งที่ต้องยอมรับกัน ก็คือ พวกเขาไม่เคยกระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว รวมไปถึงไม่เคยมีพฤติกรรมจาบจ้วง ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ศาลไม่ให้ประกันแกนนำสามนิ้ว เพราะหากปล่อยออกมาพวกเขาก็จะไม่หยุดจาบจ้วง ก่อม็อบเคลื่อนไหวตลอดเวลาเหมือนที่ผ่านมา
หรือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีในศาลล่าสุด เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่เกิดความวุ่นวาย นี่ก็ถือว่าเป็นการละเมิดศาลอย่างชัดแจ้งอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังการโพสต์ในโซเชียลฯ มีการเผยแพร่จดหมายจำนวนสองหน้ากระดาษโจมตีศาลอย่างรุนแรง ซึ่งก็ต้องมีความผิดตามมาอีก แล้วแบบนี้จะโทษหรือโวยวายกับใคร
แม้ว่าในบางมุมจะพยายามเข้าใจว่า คนพวกนี้เป็นวัยรุ่น มีการเคลื่อนไหวขาดความยั้งคิด แต่ในเมื่อในวัยที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ตามกฎหมายก็ถือว่าเลยวัย “เยาวชน” ไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ไม่อาจ “ตีตั๋วเด็ก” ได้อีกต่อไป และอาการของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากอารมณ์ของ “คนสติแตก” ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ อาจเป็นเพราะเครียดจากการถูกควบคุมในเรือนจำที่เป็นช่วงหน้าร้อน ประกอบกับตัวเองที่เป็นคนอ้วน น้ำหนักมาก มีการเคลื่อนไหวไม่สะดวก ก็เป็นได้
แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากอารมณ์และสติแตกในวันนี้ ก็อาจจะโดนข้อหาละเมิดศาลเพิ่มเข้าไปอีก แล้วจะโทษใคร อีกทั้งการที่ประกาศว่าจะ “อดข้าวดื่มแต่น้ำ” นั้น ก็หวังว่า ไม่ใช่เป็นแผนเพื่อใช้เป็นข้ออ้างออกมารักษาอาการในโรงพยาบาลข้างนอก ตามที่หลายคนมองเอาไว้ล่วงหน้าหรือเปล่า !!