ฟังไว้! “แก้วสรร” ฟันไม่เลี้ยง ม็อบราษฎร 63 ก็คือ “ม็อบวี้ดบึ้ม” ใจกลางหลุมดำทางความคิดอยู่ที่ชุมนุมเชียร์ ไม่ใช่เชียร์ลีดเดอร์ “พุทธะอิสระ” ท้าทาย “จารย์” มธ.นำเองเลย “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ชี้ เงินบริจาคเจอแน่ ภาษี “ม็อบแล้วรวย”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 มี.ค. 64) นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง อนาคตของ “ม็อบวี้ดบึ้ม” ผ่าน www.thaipost.net โดยมีเนื้อหาดังนี้
ถาม ทำไมไปเรียกม็อบสามนิ้ว ว่า “ม็อบวี๊ดบึ้ม”
ตอบ มันไม่ใช่ขบวนการปฏิวัติที่น่านับถือหรือเกรงใจอะไร พวกเขาคิดจะฉวยโอกาสจากการผลัดแผ่นดินและการปกครองที่ไปไม่เป็น มองไม่เห็นความหวังของระบอบ 3 ป.เป็นสำคัญ เขาจึงปล่อยตัว “ธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ให้เป็น เชียร์ลีดเดอร์ วิ่งออกมาวี๊ดบึ้ม หวังจะแปรความไม่สมหวังหงุดหงิดของมวลชน เป็นความจงเกลียดจงชัง ชูนิ้วกลางให้ปัจจุบัน ผ่านสถาบันเท่านั้น
ถาม แบบ “อาหรับสปริง ” ?
ตอบ ครับ...แต่มันพลิกฟ้าเหมือนอียิปต์นับล้านลุกฮือไล่ มูบารัค จบใน 10 วันไม่ได้ เหตุเพราะความชั่วของฝ่ายอำนาจบ้านเรามันยังไม่เลวร้าย ถึงขั้นจะม็อบให้ฮือขึ้นมาเป็น “ไทยสปริง” ได้ เมื่อไม่สำเร็จ ก็ต้องโดดเดี่ยวกลายเป็นนักก่อความวุ่นวายประจำวันไป เช่น ทุกวันนี้ ล่าสุด ที่เรียกตนเองว่าม็อบทะลุฟ้านั้น มันตกจากฟ้ามากกว่า
ถาม อาจารย์ไม่เห็นทฤษฎีปฏิวัติอะไรของเขาเลยหรือครับ
ตอบ ขบวนการมวลชนปฏิวัติที่พลิกโลกได้จริงๆ ต้องมีทฤษฎีอธิบายความสิ้นหวังในปัจจุบัน และอนาคตที่สวยงามสมหวังให้มวลชน
“ม็อบวี๊ดบึ้ม” อธิบายไม่ได้เลยว่า สถาบันเป็นตัวการของความสิ้นหวังและเราจะสมหวังได้อย่างไรเมื่อสิ้นสถาบัน เมื่อไม่มีความคิดก็ไม่มีการนำและการจัดตั้ง ได้แต่ขบคิดสร้างสัญลักษณ์ สร้างอีเวนต์ เขียนถนน หวังจะแทงใจดำผู้คนไปวันๆ จนเป็ดเหลืองเต็มถนนไปหมด
ถาม เขาบอกว่า แบบนี้เป็นม็อบประชาธิปไตยไม่ต้องมีแกนนำ
ตอบ การต่อสู้มันต้องมีการจัดตั้งมีขบวนการ มันไม่ใช่พาเหรดฟุตบอลประเพณี
ถาม เห็นเขาประกาศว่า ต่อไปจะมี “ม็อบประเพณี”
ตอบ มันก็จะมี “ติดคุกประเพณี” ตามมาอีก จะเอาไหม
ถาม จะได้ขาดสอบกันอีก
ตอบ เกิดมาผมไม่เคยเห็นนักปฏิวัติกลัวสอบตก
ถาม พวกอาจารย์เขาวิตกแทนลูกศิษย์ไม่ใช่หรือครับ
ตอบ ผู้ใหญ่พวกนี้หลายคน เป็นสตาฟฟ์เชียร์เลยทีเดียว เด็กเป็นแค่เชียร์ลีดเดอร์ที่ถูกดันให้วิ่งออกไปวี๊ดบึ้มกลางถนนเท่านั้น ใจกลางของหลุมดำทางความคิดมันอยู่ที่ชุมนุมเชียร์ ไม่ใช่ที่เชียร์ลีดเดอร์
ถาม หลายคนเขาสรุปว่า ถ้าไม่มี “ม็อบวี๊ดบึ้ม” ระบอบสาม ป.ไปนานแล้ว
ตอบ ผมเห็นด้วยว่ามันเป็นแนวร่วมมุมกลับให้ระบอบ 3 ป. ม็อบนี้มันตอกย้ำสโลแกน “รักความสงบจบที่ลุงตู่” ให้น่าฟังขึ้น ถ้าพวกเขาไม่ไปยุ่งกับสถาบัน แล้วทุ่มเทสร้างสโลแกนใหม่ว่า “รักความสิ้นหวังจบที่ลุงตู่” ให้ได้ โอกาสจะเปิดกว้างกว่านี้มาก สำหรับผมแล้วมันน่าเสียดายจริงๆ
ถาม เสียดายอะไรครับ
ตอบ ทุกวันนี้สังคมไทยยังให้ความหวังผู้คนไม่ได้ ระบอบ 3 ป. เป็นขุนนางเต็มตัวทั้งกายใจ ไม่มีทางปฏิรูปอะไรได้ อยู่มานานจนมีนักเกาะกินเกาะเต็มไปหมดราวกับฝูงเห็บ ทั้งสภาบนสภาล่างและในระบบข้าราชการ
สถานการณ์อย่างนี้ อนาคตบ้านเมืองตกอยู่ในมือคนรุ่นใหม่แล้วชัดๆ ผมเห็นมีอนุชนคนเก่งหลายคนในพรรคอนาคตใหม่ น่าเสียดายที่ช่วงเลือกตั้งเขากางใบสำเร็จได้ลมใหม่ๆ แรงๆ แล้ว แต่กลับเล่นใบไม่เป็น หลงโซเชียล เชื่อชุมนุมเชียร์ จนถือท้ายเลี้ยวเข้ารกเข้าพงไปเสียได้
ถาม อนาคตของ “ม็อบวี๊ดบึ้ม” เป็นอย่างไร
ตอบ ในอนาคตอันใกล้ เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจสังคมระเบิดเป็นระยะๆ เขาก็จะเป็นได้แค่แมลงวันหรือนกแสกบินว่อนบอกเหตุเท่านั้นเอง”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก “หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)” นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ อดีตพระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“จารย์สู้ๆ จารย์ออกมาลุยบนถนนเองเลย ศิษย์รออยู่ เห็นบรรดาจารย์ตบเท้าออกมาแสดงตนใช้ตำแหน่งพร้อมหลักทรัพย์ 500,000 บาท มาที่ศาลอาญากลางรัชดา เพื่อยื่นประกันตัวแกนนำม็อบ ซึ่งก็มีทั้งอาจารย์ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บางคน และอาจารย์ ผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยมหิดลบางคน โดยอ้างเหตุผลว่า เป็นช่วงเวลาสอบ นักศึกษาทุกคนซึ่งยังต้องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ควรได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อไม่ให้ต้องเสียอนาคตทางการศึกษา
เห็นความห่วงใยของจารย์ที่มีต่อศิษย์แล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่า ช่างเป็นบุญของเด็กๆ ที่มีผู้ใหญ่ใจดีคอยดูแล ห่วงทุกข์สุขของศิษย์ตน แต่พอมาคิดอีกที จารย์จะหวังดีช้าไปไหมล่ะ ทำไมจารย์ไม่แสดงความห่วงใย หวังดีให้เร็วกว่านี้ ตอนที่บรรดาศิษย์ของจารย์ออกมาสร้างความวุ่นวาย ให้บ้านเมือง ทำความเดือดร้อน ทำร้ายย่ำยีสถาบัน ดูถูกดูหมิ่นทำร้ายจิตใจคนไทย โดยไม่สนใจที่จะร่ำเรียนหนังสือหนังหา ถามว่า ทำไมจารย์ไม่แสดงความห่วงใย ออกมาตักเตือนบรรดาศิษย์ของจารย์ หรือจารย์คอยสนับสนุนพวกเขาให้สร้างความเดือดร้อนให้บ้านเมือง
พอมาถึงวันนี้ จารย์คงกลัวว่า พวกเขาจะซัดทอด พัวพันถึงตัวจารย์หรือเปล่า จึงร้อนใจอยากให้ปล่อยตัวโดยเร็ว คงเป็นเพราะจารย์กลัวเด็กจารย์จะปากโป้ง เอาเป็นว่า หากจารย์กลัวและอยากรอด จารย์คงต้องออกหน้าลงถนนมาแสดงบทนำเอง ให้มันสุดลิ่มทิ่มประตูไปเลยจารย์ อย่าเอาแต่หลอกใช้เด็กๆ แล้วปล่อยให้พวกเขา ต้องมาติดคุก ติดตาราง อยู่อีกเลยจารย์ จารย์สู้ๆ จารย์ออกมา ออกมาเลยจารย์”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบ๊กส่วนตัว เรื่อง “ม็อบแล้วรวย”
เนื้อหาระบุว่า “ข่าวคราวที่ดังมาจากสื่อ แกนนำรวย มีเงินในบัญชีคนละหลายล้าน ตลอดจนข่าวความขัดแย้งระหว่างแกนนำแถวสอง ที่เป็นคนเก็บเงินสนับสนุนของม็อบ ถูกท้าทายให้เปิดเผยบัญชี แต่ถูกปฏิเสธ เงินไม่เข้าใครออกใคร
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ป่านนี้กรมสรรพากรคงเตรียมเรียกเก็บภาษีคนที่เปิดบัญชีรับบริจาคแล้ว ประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) ระบุว่า หากบัญชีมีเงินเข้าออกเกินปีละ 4,000 ครั้ง หรือมีเงินเข้าบัญชีมากกว่า 2 ล้านบาท ต้องเสียภาษี กฎหมายกำหนดให้ธนาคารต้องแจ้งให้สรรพากรทราบ ชื่อนายทุนใหญ่จะออกสื่อก็คราวนี้แหละ
อย่าลืม กรณีนายห้างที่สนับสนุนม็อบเสื้อแดง เปิดบัญชีรับบริจาค เนื้อไม่ได้กินแต่ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังถึงล้มละลาย บ่นออกสื่อว่า ถูกเท
ขนาดเจ้ามือหวย ตำรวจจับไม่ได้ แต่สรรพากรเรียกภาษีย้อนหลังหลายสิบล้าน ไปดูฎีกา 10701/2555 ศาลให้น้ำหนักเงินเข้า เงินออกเท่าไรไม่สน
หรือเงินๆ ทองๆ ที่อมเงียบ ไม่ยอมเปิดเผย สร้างความแคลงใจให้คนไม่มาร่วม การระดมเงินต้องตรงไปตรงมา ถูกตั้งข้อสงสัย แกนนำรวย ม็อบแตกทันที เงินทองของบาดใจ”
ส่วนความเคลื่อนไหว ของ “แกนนำ 3 นิ้ว” ที่ถูกฟ้องดำเนินคดี มีข่าวใหญ่ว่า ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กรณีศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานคดีแกนนำราษฎรชุมนุม 19 กันยายน ทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี โดยอ้างเป็นมาตรการป้องกันโควิด-19 แต่ผู้เกี่ยวข้องในคดี ผู้สังเกตการณ์ และผู้เดินทางมาให้กำลังใจส่วนหนึ่งได้เข้าไปในห้องพิจารณาคดี
ต่อมาเวลา 12.00 น. นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ไบร์ท แกนนำราษฎรนนทบุรี หนึ่งในจำเลย ให้สัมภาษณ์ถึงบรรยากาศการพิจารณาคดี ว่า ภายในห้องพิจารณาคดี เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ได้ขออนุญาตแถลงต่อศาลถึงความอึดอัดที่อยู่ในใจ แต่ศาลไม่อนุญาตให้พูดในที่เปิดเผย จากนั้นมีเจ้าหน้าที่มาควบคุมตัว จึงเกิดความวุ่นวายขึ้น เพนกวินจึงประกาศความอึดอัดใจว่า เหตุใดศาลไม่ให้ประกันตัว ทั้งที่ยังไม่มีคำตัดสิน โดยเทียบเคียงกับคดี กปปส. ที่ตัดสินแล้วว่า มีความผิดแต่ได้ประกันตัว และไม่ต้องตัดผม พร้อมประกาศขอประท้วงด้วยการอดข้าว ดื่มแต่น้ำ จนกว่าจะได้รับการประกันตัว
จากนั้นบรรยากาศภายในห้องพิจารณาคดีเกิดความวุ่นวายขึ้น มีมวลชนที่ได้เข้าไปร่วมฟังการพิจารณาระบายอารมณ์ด้วยการกรีดร้อง และขว้างปาขวดน้ำลงพื้น เจ้าหน้าจึงคุมตัวเพนกวินและจำเลยลงไปควบคุมที่ห้องควบคุมจำเลยด้านหลัง
นายชินวัตร ระบุด้วยว่า หวังให้ศาลมีความยุติธรรม ไม่เป็นสารตั้งต้น และ ป.อาญา มาตรา 112 เป็นข้อหาที่ทำร้ายประชาชน ทั้งนี้ในช่วงบ่าย ตัวเองจะถูกไต่สวนในคดีละเมิดอำนาจศาล กรณีถ่ายรูปร่วมกับนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ ในห้องเวรชี้ และโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย อีกทั้งมีคดีละเมิดอำนาจศาลของนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ ฟอร์ด เส้นทางสีแดง ที่ถ่ายรูป นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ ผ่านหน้าจอแล้วไปโพสต์อีกด้วย ซึ่งในส่วนของตนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่เห็นเจ้าหน้าที่มาเตือนเรา (สยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, สิ่งที่สะท้อนให้เห็นผ่านทัศนะผู้รู้ทั้งหลาย ต่างเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า ม็อบคณะราษฎร 2563 หรือ ม็อบ 3 นิ้ว และหรือ “ม็อบวี๊ดบึ้ม” ที่ อ.แก้วสรร วิเคราะห์กำลังถูกจับตามองว่า จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย จากการเป็นนักก่อกวนรายวัน เพราะไม่มีอุดมการณ์ปฏิวัติชัดเจนอะไรชี้นำ ไม่มีขบวนการจัดตั้งมวลชวน และไม่มีทฤษฎีที่สามารถอธิบายต่อสังคมได้ อย่างที่ อ.แก้วสรร แจกแจงให้เห็น แถมไม่มีแกนนำ มีแต่การจัดอีเว้นต์บนท้องถนน การแสดงเชิงสัญลักษณ์สู้กับสถาบัน และก็ทำผิดกฎหมาย ไปตามๆ กัน
โดยหวังว่า การเคลื่อนไหวทางการเมือง จะเป็นเกราะกำบัง เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กคุ้มหัวได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ถือว่าย่ามใจอย่างมากในการทำความผิด เพราะเห็นว่าทุกครั้งที่เอาม็อบไปข่มขู่ ก็ได้รับการปล่อยตัว ไม่คิดว่า นั่นคือ การยึดหลักกฎหมายของศาล ที่ให้สิทธิตามกฎหมายอย่างเต็มที่ อย่างที่พวกตนหยิบยกมาต่อสู้อยู่ในเวลานี้ แต่ก็สายไปแล้ว เพราะศาลให้โอกาสอย่างเต็มที่และตามกฎหมายแล้ว แต่ก็กลับมาทำผิดซ้ำหลายครั้ง ซึ่งถือว่าผิดเงื่อนไขให้ประกัน
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เมื่อแกนนำไม่ได้ประกัน การเคลื่อนไหวที่แหลมคม ก็ไม่มีใครกล้าเอาตัวเข้าแลก ขณะที่กฎหมาย ก็ทำงานของมันไป มวลชนจำนวนหนึ่งก็เริ่มตาสว่าง รวมทั้งสุดทนกับพฤติกรรมของแกนนำ ที่มีข่าวไม่ชอบมาพากลมากมาย ทำให้ม็อบสิ้นมนต์ขลัง มวลชนลดลงอย่างน่าใจหาย จนเวลานี้อาจพูดได้ว่า แกนนำส่วนใหญ่ ถูกบ่วงคดีรัดคอเกือบหมดแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหลือก็แต่ ชมรมเชียร์ และสตาฟฟ์เชียร์ ทั้งหลายต้องออกมานำเอง ออกมาวาดลวดลาย ว่าใช้ทฤษฎีอะไรนำการปฏิวัติ จะทำความหวังให้คนไทยลืมตาอ้าปากได้อย่างไร จะเป็นผู้นำประเทศ และผู้นำทางการเมืองให้ดีได้อย่างไร และทำไมต้องเริ่มที่การ “ปฏิรูปสถาบัน” ให้จบที่รุ่นเรา ถ้าจบจะอย่างไร ถ้าไม่จบจะรับผิดชอบอย่างไร ยอมตายคาสนามต่อสู้เยี่ยงวีรบุรุษหรือไม่ ฯลฯ
คิดว่า คนไทยพร้อมที่จะติดตามสถานการณ์อย่างมีเหตุมีผล และให้โอกาส เพียงแต่ว่า กล้าที่จะทำให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ในคุก ภูมิใจได้หรือไม่ หรือ ยังคงท่องคาถามหานิยม “เอาตัวรอดเป็นยอดดี” อยู่เช่นเคย!?