xs
xsm
sm
md
lg

แฉ “จับแอมมี่” หักหลังกันเอง “ปิยบุตร” ซัด ยัดคุกยิ่งบานปลาย “ทิพานัน” ตอกหน้า ถ้าไม่เสี้ยมไม่มีคนผิด ม.112

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ แอมมี่ The bottom blues ขอบคุณภาพจากสยามรัฐออนไลน์
วุ่นไม่หยุด ม็อบ 3 นิ้ว เรื่องเงินบริจาคไม่จบ หักหลังกันเองอีกกรณีจับ “แอมมี่” พร้อมลากไส้ “นักต้มตุ๋น” ระดับชาติข้างตัวแกนนำ “ปิยบุตร” ซัด ยิ่งยัดคุกยิ่งบานปลาย ม็อบก็ยังอยู่ “ทิพานัน” ตอกหน้า ถ้าไม่เสี้ยมก็ไม่มีใครผิด ม.112!

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 มี.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก Headache Stencil โพสต์ข้อความระบุว่า

“ผมต้องขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้ชี้แจงนะครับ เนื่องจากตลอด 3-4 วันที่ผ่านมา มีกระแสข่าวปล่อยว่าผมเป็นคนให้เบาะแสกับตำรวจ เพื่อจับตัว “เเอมมี่” เพื่อนของผมเอง สำหรับผมถือเป็นการปล่อยข่าวดิสเครดิตกลบ “ความลับสำคัญ” ที่แอมมี่บังเอิญสงสัยแล้วส่งต่อความลับนี้สู่คนนอกวงอย่างผม และพี่ต้อม ที่เป็นเพียงเพื่อนร่วมเมามายประสาขี้เมา

ความลับสำคัญที่ว่าคือ “เหตุผล” ที่ทำให้แอมมี่โทร.หาผมรัวๆ กลางดึก แต่ผมไม่ได้รับสายตอนแรก เพราะคิดว่ามันจะชวนไปเมามายยามดึกอีก แต่หลังจากที่ผมไม่ได้รับสาย เมสเสจตามภาพด้านล่างก็โผล่มาทันที

ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Headache Stencil
ผมจึงโทร.กลับไป แอมมี่ได้เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง รวมถึงเรื่อง “การไม่ไว้ใจคนคนหนึ่ง” ซึ่งมามีบทบาทมากขึ้นในการออกคำสั่งในช่วงหลัง ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้สนใจว่าคนคนนี้คือใคร เพราะสนแต่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับมันมากกว่า

น่าสนใจที่คนคนนี้เป็นใคร ถึงออกคำสั่งกับทีมงานให้ “ต้องเอาตัวมัน (แอมมี่) มาให้ได้หลังจากแอมี่หายไปจาก รพ. ซึ่งประโยคนี้เองที่ทำให้ผมรับไม่ได้ เพราะในวินาทีนั้นเพื่อนของผมไม่ได้อยู่ในสภาพจิตใจที่พร้อมจะสู้กับสิ่งใด เสียงที่แฝงไปด้วยความสับสนจากการไม่แน่ใจว่าจะถูกคนกันเองหักหลัง สิ่งที่ควรจะทำคือ “ช่วย” ตามความประสงค์ของมัน ไม่ใช่หาทาง “ล็อกตัว” ผู้ร่วมอุดมการณ์เพื่อส่งให้ตำรวจเพื่อเพียงแค่ “กลัวจะเสียขบวน” จากสิ่งที่เกิดขึ้น

หลังจากแอมมี่ถูกตำรวจควบคุมตัวเรียบร้อยแล้ว พี่ต้อมได้เอาภาพหลักฐานภาพหนึ่งที่แอมมี่ได้ให้ทิ้งไว้ ลองหาข้อมูลเพิ่ม ก็ได้พบกับสิ่งที่น่าตกใจ คนที่สั่งเด็กให้ไปเอาตัวแอมมี่มาให้ได้ ดันเป็นคนที่มีคดีต้มตุ๋นระดับชาติ แถมคดีนั้นเจ้าของคดีก็เป็นคนนามสกุลเดียวกับ “ไอ้ค้อก” ที่พวกเราคุ้นหูกันดีอีกด้วย ช่างบังเอิญจริงๆ และหลังจากที่เช็กข้อมูลเพิ่มขึ้นก็ได้พบกับความอำมหิตกว่าเดิมว่า คนคนนี้ได้ออกคำสั่งให้เด็กไปกระทำการก่อความรุนแรง จนเด็กที่ไปทำการถูกติดคุกไป แต่ตัวเองยังลอยนวลสบายใจเฉิบ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมยังเลือดเย็นสั่งคนให้เอาตัวเพื่อนกูมาให้ได้อีก

หลังจากที่ผมได้อดทนให้ใจเย็นลง และยังมีความเกรงใจต่อไผ่ และอีกหลายๆ คนที่แอมมี่มันรักและห่วง ผมไม่อยากให้ขบวนการนี้เสียหายจากความโง่ของคนไม่กี่คนที่ไม่รู้โดนอะไรบังตา ถึงเอาคนแบบนี้มาอยู่ข้างตัว ข้างเงินบริจาคประชาชน ผมจึงพยายามใช้ทวิตเตอร์ในการสื่อสารอ้อมๆ เพื่อให้ทางเจ้าตัวรู้ตัว และหาทางจบเรื่องนี้กันให้ได้ก่อนที่มันจะพังกันไปหมด เพราะผมคนหนึ่งล่ะที่อยากรู้แล้วว่าตกลงเงินบริจาคของประชาชนไม่รู้กี่ล้าน ได้ถูกนำไปใช้อย่างไร พูดตรงๆ นะครับ ไม่เคยสงสัยหรอก และก็ไม่สนใจด้วยว่าแกนนำจะเอาเงินไปใช้ขับเคลื่อนยังไง แต่พอมีคนที่เป็นนักต้มตุ๋นระดับชาติที่มีคดีพัวพันกับคนสำคัญแบบนี้มาอยู่ข้างๆ เงินแบบใกล้ชิดมาก ผมก็ไม่สามารถวางใจได้ครับ นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เมื่อใครถามหาการแจกแจงบัญชีเงินบริจาคถึงถูกทัวร์ลง

เมื่อวานนี้ ผมได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่คนสนิท ประสานให้คุยกับแกนนำคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวคนเอาไอ้นักต้มตุ๋นนี่มาอยู่ข้างตัว โดยผู้ใหญ่ที่ประสานแจ้งกับผมว่า “-ึงคุยกับมันเถอะ เชื่อ-ูมันยอม-ึงหมดแล้ว” ผมจึงยอมโทร.คุยกับทางแกนนำคนนี้

โดยทางแกนนำได้เอ่ยปากขอโทษผมในเรื่องที่มีการสั่งจับตัวแอมมี่ ที่ตอนแรกคิดถึงแต่เรื่อง “กลัวจะเสียขบวน” จนลืมคิดถึงความเป็นพี่น้อง และไม่ได้คิดว่าแอมมี่ทำไปเพราะอะไร ถึงกับใช้คำว่า “พอรู้ว่าป๊าทำไปเพราะอะไร พี่ก็จุก...” ผมบอกเลยครับ ว่าคำนี้บวกกับเสียงสั่นของคนที่ผมคุยอยู่ ทำให้ผมใจอ่อนและยอมช่างแม่งในเรื่องเพื่อนผมไปได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ผมยืนยันคือเรื่องของไอ้นักต้มตุ๋น ที่ต้องรับผิดชอบต่อกรณีสั่งการให้เด็กสามคนไปยกระดับโง่ๆ จนติดคุกเพราะคำสั่งชุ่ยๆ ของไอ้นักต้มตุ๋นคนนี้ โดยทางแกนนำที่คุยกับผมก็บอกว่า จะให้คนๆนี้ออกไปจากขบวน ซึ่งผมย้ำแล้วว่าต้องให้มันรับผิดชอบต่อกรณีนั้นด้วย ซึ่งก็ได้รับการรับปาก

เหตุการณ์ดูเหมือนจะจบลงด้วยดี จนกระทั่งค่ำของเมื่อคืน ผมได้รับทราบจากศิลปินดังคนหนึ่งว่า เรื่องที่คุยกันตอนเช้า กลับกลายเป็นผมที่ไปขอโทษแกนนำคนนั้นซะงั้น (วงการบันเทิงอะเนอะ) ผมบอกตรงๆ นะครับ ว่ารับไม่ได้กับการตอแหลขนาดนี้ และจากการคุยวันนี้ก็ดูเหมือนเขาจะเตรียมข้อแก้ตัวพร้อมแล้วล่ะ

ผมคงทำได้แค่อธิบายในส่วนของผมแค่นี้ สิ่งที่ทุเรศที่สุดคือการยัดว่าผมเป็นคนให้เบาะแสกับตำรวจ ทั้งๆ ที่ตัวเองนั่นแหละ ที่จะเอาเพื่อน-ูยัดคุกเพื่อให้ขบวนการรอดไปหาเงินใช้ต่อ ผมเสียความรู้สึกมากเกินกว่าจะรับได้จริงๆ ครับ” (สยามรัฐออนไลน์)

ขณะเดียวกัน ภายหลังอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร กับ 18 ผู้ต้องหาแกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร โดย น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน เฉพาะ 3 คนนี้มีข้อหา ป.อาญา มาตรา 112 เพิ่มเติม

ต่อมา นายภาณุพงศ์ จาดนอก ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า

“เมื่อไหร่ที่พวกเราชนะ เมื่อนั้นประชาชนจะเป็นผู้พิพากษาท่านเอง”

“อัยการมีคำสั่งฟ้องทุกคน, ฉันคือผู้ปลูกเพาะเมล็ดพันธุ์ พวกเธอนั้นคือผู้ดูแล เมื่อประชาธิปไตยเบ่งบาน ลูกหลานจักไม่ต้องเป็นทาสใคร”

ส่วนนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา โพสต์ว่า “ทางเลือกของผู้ถูกกดขี่ มันมีแค่สองทาง จะยอมหรือจะสู้ ชีวิตมันก็มีแค่นี้”

ขณะที่ น.ส.ปนัสยาโพสต์เฟซบุ๊กว่า “สิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิโดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้พวกเรายังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมาย เช่นนั้นขอให้ศาลพิจารณาบนหลักยุติธรรมให้พวกเราและเพื่อนๆ ในคดีอื่นได้ประกันตัวค่ะ”

ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า แชร์การให้สัมภาษณ์ของตัวเองขณะไปให้กำลังใจแกนนำ 3 นิ้วที่ถูกอัยการสั่งฟ้อง หัวข้อ [ ปิยบุตร ให้กำลังใจ #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ยันปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรม ]

โดยเนื้อหาระบุว่า “เช้านี้ วันที่ 8 มีนาคม 2564 ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ไปสังเกตการณ์และให้กำลังใจ 18 นักกิจกรรม กรณี “19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร” สืบเนื่องจากพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 นัดฟังคำสั่งฟ้องคดีทั้งหมดและยื่นฟ้องต่อศาลอาญาทันที

เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุว่า กลุ่มนักกิจกรรมที่ถูกกล่าวหาในคดีหลายคนเป็นผู้ต่อสู้ร่วมกันมาอย่างยาวนาน อาทิ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” ซึ่งร่วมรณรงค์ “Vote No” ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อดิศักดิ์ สมบัติคำ และณัทพัช อัคฮาด เคยเป็นอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ รวมทั้ง ชินวัตร จันทร์กระจ่าง ซึ่งเคยทำงานกับเยาวชนเครือข่ายของพรรคอนาคตใหม่ จังหวัดนนทบุรี แต่เมื่อพรรคถูกยุบทุกคนก็ออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป

ปิยบุตร ยังระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 “การใช้ ป.อาญา ม.112 ห้ำหั่นกันแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย หากคิดว่าจะต้องจัดการเอากฎหมายปิดปาก ผมเห็นว่าวิธีการนี้ปิดปากไม่ได้ ถ้าเห็นว่าพวกเขามองสถาบันไม่เหมือนคนรุ่นก่อน การเอาไปขังคุกไม่ช่วยอะไร ไม่มีทางเปลี่ยนวิธีคิดแน่นอน ยิ่งจับยิ่งบานปลาย ยิ่งยัดข้อหายิ่งบานปลาย อยากฝากผู้มีอำนาจทั้งหลายคิดทบทวนให้ดี การเอา ม.112 หรือ ม.116 มาปิดปาก ไม่ได้ประโยชน์ต่อใครเลย ต่อให้แกนนำถูกจับกุม การชุมนุมก็เดินหน้าต่อ”

ปิยบุตร อธิบายว่า การใช้กฎหมายความมั่นคงไม่สามารถสร้างทัศนคติที่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ แต่การเปิดพื้นที่ให้พูดคุยกันอย่างปลอดภัยต่างหากคือทางออก พร้อมบอกว่า ผู้มีอำนาจไม่ควรมองว่ากลุ่มนักกิจกรรมที่มีความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นอาชญากร แต่เป็นผู้ที่อยากให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและเป็นประชาธิปไตยต่างหาก

“อยากฝากถึงบุคคลผู้มีอำนาจกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด หลักใหญ่ใจความที่ควรคำนึงถึงคือกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากร เป็นคนที่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง อยากให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ใช้เสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ หากคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพเป็นหลักก็จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง

นอกจากนั้นแล้ว ตามรัฐธรรมนูญสันนิษฐานไว้ว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ก่อน สิทธิในการได้รับการปล่อยชั่วคราวเป็นสิทธิพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรม คนฆ่าคนตาย หรือค้ายาเสพติด ยังได้รับการปล่อยชั่วคราว คนเหล่านี้ถูกกล่าวหาในคดีการเมืองแต่กลับไม่ได้รับปล่อยตัว” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ทิ้งท้าย

ทั้งนี้ อัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลในคดีลักษณะเดียวกันกับ อานนท์, สมยศ, ปติวัฒน์ และพริษฐ์ ไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งขณะนี้ทั้งหมดถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีโดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวเป็นเวลาเกือบ 1 เดือน

สำหรับวันนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112, 116 ประกอบด้วย ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง”, จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน”, ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์”

ส่วนอีก 15 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาหลักคือ มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น และ มาตรา 215 มั่วสุมกันมากกว่า 10 คนขึ้นไป ได้แก่ อรรถพล บัวพัฒน์, ชินวัตร จันทร์กระจ่าง, ชูเกียรติ แสงวงศ์, ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา, ณัทพัช อัคฮาด, ธนชัย เอื้อฤาชา, ธนพ อัมพะวัต, ธานี สะสม, ภัทรพงศ์ น้อยผาง, สิทธิ์ทัศน์ จินดารัตน์, สุวรรณา ตาลเหล็ก, อนุรักษ์ เจนตวนิชย์, ณัฐชนน ไพโรจน์, อดิศักดิ์ สมบัติคำ และ ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์

#ราษฎร #ม็อบ #ยกเลิกมาตรา112 #ประกันตัว”

ภาพ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ จากแฟ้ม
อย่างไรก็ตาม น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี และอดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความเห็นของนายปิยบุตร โดยเฉพาะที่เห็นว่าวิธีนี้ปิดปากไม่ได้ ขังคุกไม่ช่วยอะไรและยิ่งจับยิ่งบานปลายว่า ปัญหาไม่ได้เกิดจากการบังคับใช้กฎหมาย แต่เกิดจากการชี้นำให้ละเมิดกฎหมายต่างหาก เนื่องจากที่ผ่านมา นายปิยบุตรเคลื่อนไหวให้ยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาตลอด ฉะนั้นต้องเคยอ่านข้อกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว นายปิยบุตรจึงต้องรู้ว่า การแสดงความเห็นอย่างไร จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 และอย่างไร จึงเข้าข่ายความผิดตามมาตราดังกล่าว นายปิยบุตรจึงไม่เคยพูดว่า แกนนำม็อบราษฎรที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีนั้น ผิดหรือไม่ผิดกฎหมายมาตรา 112 อย่างไร แต่กลับพูดจาเหมือนให้ร้ายเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่บังคับใช้กฎหมาย เป็นมาตรฐานเดียวกันกับคดีอาญาอื่นๆ โดยมีการพิจารณาไปตามพยานหลักฐานจากข้อเท็จจริง จากการสอบสวน

น.ส.ทิพานันกล่าวว่า นายปิยบุตรยังคงแผ่นเสียงตกร่อง อาศัยจังหวะที่มีการดำเนินคดีของแกนนำในคดีมาตรา 112 ออกมาเสนอให้เปิดพื้นที่พูดคุยเรื่องสถาบันฯ ฉะนั้น นายปิยบุตรต้องระมัดระวัง การเอาเป้าหมายส่วนตัวมาเป็นเป้าหมายของส่วนรวม เพราะต้องเข้าใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศชาติสงบเรียบร้อยและเดินไปข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงของการฟื้นฟูประเทศจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การที่กลุ่มมวลชนเคลื่อนไหวและแสดงออกในลักษณะก้าวล่วงสถาบัน สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้จงรักภักดี มีแต่สร้างความขัดแย้งและนำไปสู่การเมืองที่ไม่สร้างสรรค์...(สยามรัฐออนไลน์)

แน่นอน, ถ้าฟังจากการออกมาแฉกันเองของม็อบ 3 นิ้ว เห็นได้ชัดว่าขบวนภายในก็มีปัญหาความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาเงินบริจาคและการใช้จ่ายโปร่งใสหรือไม่ รวมทั้งปัญหาความไม่ไว้วางใจแกนนำด้วยกัน จึงนับเป็นจุดอ่อนที่แก้ไม่ได้จุดหนึ่ง จนอาจนำไปสู่การทะเลาะกันได้ง่าย และไม่เป็นผลดีกับมวลชน ซึ่งจะอยู่รอดปลอดภัย ย่อมต้องอาศัยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

เหนืออื่นใด ยังทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนที่อยู่เบื้องหลัง ผู้สนับสนุน ผู้ปลุกปั่นยุยง ทำได้อย่างดีต่อหน้าสาธารณชน ก็แค่ “ออกมาให้กำลังใจ” เท่านั้น เพราะไม่ได้เปิดตัวอย่างชัดเจน และไม่กล้าเปิดตัวด้วย เพราะห่วงสถานทางการเมือง ที่มักใหญ่ใฝ่สูง และวาดฝันเหยียบขี่การต่อสู้ของเด็กขึ้นไปเป็นใหญ่

ดังนั้น คนฉลาดย่อมคิดเองได้ว่า ใครกันแน่เป็นทาสใคร?


กำลังโหลดความคิดเห็น