“ปราชญ์ สามสี” อ้างสื่อนอกปี 1992 โยง “ส.ศิวรักษ์” สัมพันธ์ทุนโจมตีเจ้า หลังร่วมเดินทะลุฟ้า ต้าน ม.112 “ดร.เสรี” อัด “ปิยบุตร” ยุยงเด็ก “ไม่รัก...ไม่ติดคุก” อาชญากรทางวิชาการ “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” แนะรัฐบาลอย่าตั้งรับจนหมดทางถอย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 มี.ค. 64) เพจเฟซบุ๊ก “ปราชญ์ สามสี” โพสต์ข้อความระบุว่า
“หากได้มีโอกาส อ่านหนังสือ Exclusive Intelligence Review (EIR) โดย Lyndon H. Larouche jr อันเป็นหนังสือวารสารทางการเมือง ในสหรัฐอเมริกา ที่เก่าแก่ประมาณหนึ่ง
ในฉบับที่ 19 ปี ค.ศ. 1992 กับพาดหัวน่าสนใจว่า “USAID. Run Anti-U.S. coup in Thailand” ซึ่งก็แปลตรงตัวว่า “สหรัฐฯให้ทุนสนับสนุน กลุ่มต่อต้านสหรัฐฯ รัฐประหาร ในประเทศไทย”
ยิ่งฟังพาดหัวแล้วยิ่ง “ใช่” เลยใช่ไหมละครับ!!
โดยในฉบับนี้จะมีการพูดถึงประวัติของ ส.ศิวรักษ์ ไว้อย่างน่าสนใจ โดยให้สมญานาม “ญากองแบงค์ ในประเทศไทย” (jacobin คือ พวกที่ปฏิวัติฝรั่งเศสจนตัดหัวพระเจ้าหลุยที่ 16 นั้นแล)
ตาเฒ่าสุลักษณ์ ถูกเปิดเผยว่า เขาได้รับการสนับสนุนสำคัญจากมูลนิธิ NGOs หลายแห่งที่ได้รับเงินสนับสนุนโดยสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 1992 โดยปรากฏชื่อองค์กรทั้งเก่าและใหม่ อย่างเช่น Freedom House ที่ได้การสนับสนุน จาก สหรัฐฯ และ เงินทุนชาวยิว อย่าง โซรอส
ยังมีชื่อ Amnesty international ซึ่งถูกเปิดเผยว่า เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มาสนับสนุน ส.ศิวรักษ์ ในการหนุน พลตรี จำลอง ศรีเมือง โจมตี สุจินดา ในเวลานั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ การระบุจุดกำเนิดขององค์กรนี้ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1961 โดยสายลับอังกฤษ
และยังมีองค์กรทางกฎหมาย อย่าง Lawyers Committee for Human Right ซึ่งได้เงินมาจาก “หลายแห่ง” ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ ส.ศิวรักษ์ ในการ #โจมตี... เพื่อที่จะใส่ความบนเวทีโลกว่า การนิรโทษกรรม อดีตนายกฯ สุจินดา ...นั้น เป็นเรื่องผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ยิ่งอ่านก็จะยิ่งเข้าใจถึงบทบาทของภัยจากต่างประเทศในคราบ NGOs ที่ส่งงบประมาณมาให้ #คนไทยฆ่ากันเอง เขาทำกันมาตั้งแต่ปี 1992 หรือก่อนหน้านี้
นี่มันปี 1992 แต่เหมือนปัจจุบันฯ ยังไงยังงั้น
ยิ่งอ่านยิ่งแซ่บ พบ ...โบราณ ผู้ทำลายชาติ ตัวเป็นๆ...
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ เพจเฟซบุ๊ก Thailand Vision โพสต์ข้อความระบุว่า
“ส.ศิวรักษ์ นำ เดินทะลุฟ้าเข้ากรุงเทพ
ลั่น ต้องแก้ 112 เห็นด้วยม็อบทุกข้อ
โจมตีศาล... ไม่ให้ประกันแกนนำ
ฟันธง อัปปรีย์จะต้องไปจัญไรจะต้องแพ้
5 มี.ค. 64 - เพจเฟซบุ๊ก People GO network เครือข่ายภาคประชาชน นำโดย นายนิมิตร์ เทียนอุดม ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำจัดกิจกรรม “เดินทะลุฟ้า คืนอำนาจให้ประชาชน” ระยะทาง 247.5 กิโลเมตร จากโคราชถึงกรุงเทพฯ โพสต์ความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ซึ่งมี นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ เปิดขบวนเริ่มจากวัดคุณหญิงส้มจีน ไปถึงเซียร์รังสิต
ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก People GO network ได้โพสต์ข้อความว่า จากใจ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ถึงเดินทะลุฟ้า “ผมมาให้กำลังใจ เป็นคนแก่มาให้กำลังใจเขาเท่านั้นเอง วันนี้มาเดินด้วยนิดหน่อย คนแก่เดินมากไม่ได้
เห็นด้วยเลย ยกเลิก 112 ประยุทธ์ออกไป ต้องไล่ประยุทธ์ ประยุทธ์เป็นคนเหลวไหลมาก ต้องไล่ออกไป เห็นด้วยทุกข้อ การแก้รัฐธรรมนูญจะแก้ได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนเข้าไปร่วมแก้ไข ปล่อยให้เนติบริกรแก้ไขไม่ได้ ไอ้พวกนี้มันแหย
รัฐบาลมันเลวร้ายมาก แล้วศาลก็ไม่ดี ศาลทุกคนอาจไม่เลวร้าย แต่ศาลที่ไม่ให้ประกันตัวนี่ เลวร้ายมาก เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์เลย จับเขาไปก็ต้องให้ประกันออกมาสิจะได้สู้กัน ศาลรังแกคน น่าเสียดาย น่าเศร้า สถาบันสั่น ไม่มีความมั่นคงทางจริยธรรมการปกครอง ถ้าเผื่อรัฐบาลฉลาดเขาก็จะต้องแก้ปัญหา แต่ถ้ารัฐบาลโง่มันก็จะบานปลาย
ขบวนการคนรุ่นใหม่นี้ดีมากเลย โดยเฉพาะตอนนี้เด็กนักเรียนมัธยมปลายก็ออกมาทั้งผู้หญิงผู้ชาย และเด็กเหล่านั้นพูดจากระฉับกระเฉง พูดจามีน้ำหนัก เด็กรุ่นใหม่ดีกว่าคนแก่เยอะแยะเลย เพราะระบบของเราสอนให้คนเชื่อง สอนให้อยากจะไต่เต้าแต่เอาดี เอาอำนาจ แต่เด็กพวกนี้ก็ออกมาท้าทาย แสดงว่าสื่อนอกกระแสหลักใช้ได้เลย เด็กรุ่นใหม่ น่านับถือ น่าเคารพ ทำให้คนแก่อดไม่ได้ที่จะเคารพเด็กรุ่นใหม่
พวกเราจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงนะ เราจะชนะได้อย่างเดียว ต้องใช้สัจจะ และใช้อหิงสาเท่านั้นที่จะชนะ ความรุนแรงให้รัฐบาลมันใช้ไป ให้มันแสดงความเลวร้ายออกมา อย่าลืมว่าการเดินทางของเราแม้จะไม่ใหญ่โต แต่มันดังไปทั่วโลกเลยนะ ทั่วโลกได้รับรู้และให้กำลังใจเรา
เราต่างจากสัตว์เดรัจฉานตรงที่เราสามารถพูดได้ และตรงที่เราแสดงความเห็นที่เป็นคำพูดก็ดี ข้อเขียนก็ดี เป็นสิทธิของมนุษย์ เมื่อรัฐบาลไหนกดขี่มนุษย์ ไม่ให้พูดโดยอิสระเสรี รัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลอัปรีย์ เป็นรัฐบาลจัญไร เช่น รัฐบาลประยุทธ์ เป็นต้น เพราะฉะนั้นการที่ท่านทั้งหลายออกมาเดินขบวน
ขอให้เดินขบวนด้วยสันติ และอดทน เพราะว่าเราจะต้องเอาชนะพวกทรราชให้ได้ แม้ประยุทธ์จะอ้างว่าไม่ได้เป็นเผด็จการแล้ว อ้างเป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม เราต้องชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ปลอมจะแพ้สิ่งที่เป็นจริง ใช้สัจจะและอหิงสาต่อสู้
ขบวนการของเราอาจจะไม่ใหญ่โต อาจจะไม่มาก แต่ทุกคนที่มาร่วมมีธรรมะเป็นพื้นฐาน แล้วอย่าลืมนะครับโลกสมัยนี้ ทั่วโลกรู้หมดเลยว่าเราทำอะไรบ้าง แม้เราจะเป็นคนจำนวนน้อยแต่เป็นจำนวนน้อยที่ต่อสู้เสียสละด้วยความยินดีเพื่อประโยชน์ สุขของมหาชนทั้งหลาย ผมขอเอาใจช่วย ขอให้กำลังใจให้ท่านทั้งหลายเดินทางด้วยความอดทน ด้วยความตั้งใจมาก และในที่สุดเราจะต้องชนะ อัปปรีย์จะต้องไปจัญไรจะต้องแพ้ ธรรมะชนะอธรรม”
ขณะเดียวกัน ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“กะปิบูด โกหกตอแหลบิดเบือนด้วยวาทกรรมว่า ไม่รัก...ไม่ติดคุก ซึ่งเป็นการหาเรื่องว่า เด็กๆ ที่โดนคดีมาตรา 112 เพราะไม่รัก แต่เด็กๆ ไม่ต้องกลัวแค่ไม่รักจะไม่มีความผิด
พูดจาหลอกเด็กให้ฮึกเหิมและทำผิดมาตรา 112 ไปเรื่อยๆ และเด็กก็โดนคดีครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะถูกหลอกให้ ไม่ต้องกล้วมาตรา 112 เพราะแค่ไม่รักพระมหากษัตริย์
แต่แท้ที่จริงแล้ว ที่เด็กๆ โดนคดีมาตรา 112 นั่น ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะ ดูหมิ่น ด่าทอด้วยข้อความที่เป็นเท็จและแสดงการอาฆาตมาดร้ายต่างหาก เด็กๆ รู้เอาไว้
กะปิบูด อย่าตอแหลหลอกเด็กอีกเลย นี่มันคืออาชญากรทางวิชาการชัดๆ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“อย่าตั้งรับจนหมดทางถอย
สังเกตการทำงานของรัฐบาล กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ ชี้แจงต่อสาธารณะชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตั้งรับหรือตกเป็นฝ่ายตั้งรับมากไปมั้ย
หลายๆ เรื่อง เราควรเป็นฝ่ายตั้งโจทย์ เป็นฝ่ายบุกพวกที่ไม่หวังดีต่อประเทศและสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นคนสิ้นคิดหรือสื่อต่างชาติ อย่าต้องคอยแก้ข่าวอยู่ตลอดเวลา
หลายเรื่อง ทางราชการคาดหมายได้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ควรทำความเข้าใจกับประชาชนคนในชาติล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไร หากไม่เกิดก็ไม่เห็นจะเป็นไร ถือเป็นการป้องปราม
โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศต้องขยันแถลงข่าวต่อทูตานุทูตและสื่อต่างประเทศ การแถลงข่าวของกระทรวงต่างประเทศจะมีน้ำหนัก
ได้รับการยอมรับและความสนใจอย่างมาก
กรมประชาสัมพันธ์และสื่อโทรทัศน์ที่รัฐสนับสนุนต้องเป็นกระบอกเสียงของรัฐ ซึ่งห้ามปฏิเสธ และมิใช่เสนอข่าวหรือจัดทำรายการในทิศทางที่ปฏิปักษ์กับรัฐ
แต่ไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อแบบรัฐบาลเผด็จการพลเรือนในอดีต ต้องเสนอความจริงที่ทันต่อเหตุการณ์ และตอบข้อสงสัยของประชาชน
เข้าใจนะ”
แน่นอน, ดูเหมือนเกมต่อสู้ของม็อบ 3 นิ้ว ที่ยังคงยืนหยัดข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ ไล่รัฐบาลประยุทธ์ แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้คนจะน้อยลง แต่ที่น่ากลัว กลับกลายเป็นความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เนื่องจาก “ม็อบไม่มีแกนนำ”
ส่วนที่สงสัยว่า ม.112 เกี่ยวข้องอะไรนั้น อาจอธิบายได้ว่า ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ของม็อบ 3 นิ้ว เป็นการต่อสู้กับเชิงสัญลักษณ์ของสถาบันฯ ดังนั้น จึงเป็นการเอาตัวเข้าไปทำผิด ม.112 ซึ่ง เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่เองที่เป็นเหตุให้แกนนำม็อบถูกจับกุมและดำเนินคดี ม.112 คนละหลายคดี (ต่างกรรมต่างวาระ)
ดังนั้น การต่อสู้เฉพาะหน้าของม็อบ 3 นิ้ว จึงเป็นการต่อสู้ให้ยกเลิก ม.112 และต่อสู้เพื่อให้แกนนำได้ประกันตัวสู้คดี อันเนื่องจากทำผิด ม.112 และถ้าจะว่าไป ก็คือ หนึ่งในสาระสำคัญของ การ “ปฏิรูปสถาบันฯ” นั่นเอง
เหนืออื่นใด ลำพังการต่อสู้ของคนไทยด้วยกันเอง เพื่อความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้น ก็ไม่น่ามีปัญหามากนัก แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น มันเป็นการต่อสู้เพื่อล้มล้างและเปลี่ยนแปลงประเทศ และมีข้อมูลเบื้องลึกมาตลอดว่า มีต่างชาติ และชาติมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมยุคใหม่แทรกแซงหนุนหลัง นี่คือ เรื่องใหญ่ที่ผู้รู้หลายคน เชื่อว่า ม็อบ 3 นิ้ว มีคนอยู่เบื้องหลัง และเป็นระดับที่ไม่ธรรมดา จึงตอบโต้และต่อต้านอย่างถึงที่สุด จึงนับว่าน่าจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป