xs
xsm
sm
md
lg

“บิดเบือน”! สถาบันกษัตริย์ไม่เป็น ปชต. “ดร.อานนท์” เย้ย รัฐบาลน้า-หลาน “กวิ้น” ปลุก “3 นิ้ว” บีบศาล 3 ข้อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เมื่อครั้งเปิดประเด็น ขอบคุณภาพ จาก เฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค ของ นายอัษฎางค์ ยมนาค
ชัด! ประวัติศาสตร์บันทึก “อัษฎางค์” โต้ “ปิยบุตร” สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็น “ปชต.” มากว่า 100 ปี “ดร.อานนท์” เย้ย “รัฐบาลน้า-หลาน” ไม่บอกก็รู้ “กวิ้น” ร่างกายไม่ไหว จิตวิญญาณยังสู้ ปลุก “3 นิ้ว” บีบศาล 3 ข้อ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (7 เม.ย. 64) เฟซบุ๊ก อัษฎางค์ ยมนาค ของ นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์หัวข้อ “ประวัติศาสตร์การเมืองเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยกับประชาธิปไตย”

โดยระบุว่า “ความตอนหนึ่งจากพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 5

พระนิพนธ์ฯสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2411

เวลาเที่ยงคืนเมื่อที่ประชุมพร้อมกันแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าประสานมือหันหน้าไปทางเจ้านาย กล่าวท่ามกลางที่ประชุมของพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางว่า

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อเวลายาม 1 บัดนี้แผ่นดินว่างอยู่ การสืบพระราชสันติวงศ์ตามราชประเพณีเคยมีมาแต่ก่อนนั้น

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จะเสด็จสวรรคต ได้ทรงมอบราชสมบัติพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สวรรคต ไม่ได้ทรงสั่งมอบราชสมบัติแก่เจ้านายพระองค์ใด เสนาบดีจึงพร้อมกันถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสวรรคต มีรับสั่งคืนราชสมบัติแก่เสนาบดี ตามแต่จะปรึกษากันให้เจ้านายพระองค์ใดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีปรึกษากัน ถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประชวนอยู่ ได้มีรับสั่งหากรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์และเจ้าพระยาภูธราภัยเข้าเฝ้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตไว้ว่า

ผู้ที่จะดำรงรักษาแผ่นดินต่อไปนั้น ให้พระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการปรึกษาหารือ สุดแต่จะเห็นพร้อมกันว่าพระองค์ใด

จะเป็นพระน้องยาเธอ หรือพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานเธอ ซึ่งทรงพระสติปัญญารอบรู้สรรพสิ่งทั้งปวง สมควรปกป้องสมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรได้ ก็ให้ยกพระราชวงศ์องค์นั้นขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

บัดนี้ท่านทั้งหลายทั้งปวงอยู่ในที่ประชุมนี้จะเห็นว่าเจ้านายพระองค์ใด สมควรจะเป็นที่พึ่งแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการและอาณาประชาราษฎรดับยุคเข็ญได้ ก็ให้ว่าขึ้นในท่ามกลางประชุมนี้ อย่าได้มีความหวาดหวั่นเกรงขามเลย

ขณะนั้นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์ ซึ่งมีพระชนมายุยิ่งกว่าพระราชวงศานุวงศ์ทั้งปวง จึงเสด็จลุกคุกพระสงฆ์หันพระพักตร์ไปทางข้างตะวันออก ประสานพระหัตถ์ตรัสขึ้นในท่ามกลางประชุมว่า

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระเดชพระคุณได้ทรงทำนุบำรุงเลี้ยงพระบรมวงศานุวงศ์ และมุขมนตรีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาเป็นอันมาก พระคุณเหลือล้น ไม่มีสิ่งใดจะทดแทนให้ถึงพระคุณได้

ขอให้ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เหมือนหนึ่งได้ทดแทนพระคุณพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อกรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์ ตรัสดังนี้แล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงถามที่ประชุมเรียงพระองค์เจ้านายและเรียงตัวข้าราชการผู้ใหญ่ ทุกพระองค์ทุกท่านประสานพระหัตถ์และประสานมือยกขึ้นรับว่า “สมควร”

เมื่อเห็นชอบพร้อมกันแล้ว เจ้าพระยาศรีสริยวงศ์จึงอาราธนาพระสงฆ์สวดชยันโต และถวายอติเรก
............................................................................
พวกเราอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเห็นอะไรบ้าง

รัชกาลที่ 1 เลือกพระราชโอรสองค์โตให้สืบราชสมบัติ ซึ่งเป็นวิธีที่การสืบสันติวงศ์ในการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ใช้กันมาแต่โบราณทั้งเมืองไทยและนานาอารยประเทศทั่วโลก

แต่นับตั้งแต่รัชกาลที่ 2 สวรรคต รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็จริง แต่ผ่านการโหวตและเลือกตั้งโดยพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง ซึ่งเปรียบได้กับรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน

ภาพ นายอัษฎางค์ ยมนาค จากแฟ้ม
พระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรี มีความเป็นประชาธิปไตยมาก่อนชาติใดๆ ในโลก ทรงไม่ได้เห็นแก่พระองค์เอง แต่เห็นกับประชาชนและชาติบ้านเมือง ด้วยการให้สภาขุนนางคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

แม้แต่รัชกาลที่ 8 ก็ไม่ได้เป็นพระมหากษัตริย์โดยการแต่งตั้ง แต่ได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภาของคณะราษฎร

หรือแม้แต่รัชกาลที่ 9 ก็ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน แต่ได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์โดยความเห็นชอบจากรัฐสภา
............................................................................
นักการเมืองรุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ไม่รู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย รู้แต่ประวัติศาสตร์ชาติฝรั่ง โดยเฉพาะฝรั่งเศส

ที่มีบริบทแตกต่างกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอย่างสิ้นเชิง

กลับนำประวัติศาสตร์ความแตกแยกของประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของชาติฝรั่งมาเป็นตัวอย่างเพื่อจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย

โดยมีวาระซ้อนเร้นว่า เป็นความต้องการของประชาชน ทั้งที่ความจริงเป็นการความต้องการในการแสวงอำนาจทางการเมืองของตนเองและพรรคพวก
............................................................................
ถ้าเราจะอ้างเอาคำพูดของกรมหลวงเทเวศรวัชรินทร์ ในวันที่มีการโหวตเลือกพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เมื่อร้อยกว่าปีก่อน มาใช้ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 10 ที่สืบราชสมบัติต่อจากรัชกาลที่ 9 ว่า

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระเดชพระคุณได้ทรงทำนุบำรุงเลี้ยงดูพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยและประชาราษฎรทั้งปวงมาเป็นอันมาก พระคุณเหลือล้น ไม่มีสิ่งใดจะทดแทนให้ถึงพระคุณได้

ขอให้ยกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เหมือนหนึ่งได้ทดแทนพระคุณพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

และพวกเราคนไทยจะขอทดแทนพระคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 อันหาที่สุดมิได้ ด้วยการแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ 10 ดังเช่นเคยจงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดไป

อย่าปล่อยให้นักการเมืองผู้ที่กระหายอำนาจ แอบอ้างเสียงของประชาชนเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตนเองและพรรคพวกบิดเบือนข้อเท็จจริงและปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายเพื่อเรียกร้องสิทธิในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นไปตามความต้องการของกลุ่มการเมือง”

ภาพ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

“มีข่าวหลุดมาว่า น้าจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค พร้อมกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่งคนไปเจรจากับพรรคคนแดนไกลว่า จะจับมือไว้แล้วไปด้วยกัน หลานรอขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคล้มเจ้าสำรอง สัญญาใจจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเจริญพวงxxไร ข่าวนี้กระฉ่อนมากใครเป็นใครอ่านแล้วคิดเอาเอง ไม่ต้องถาม”

ภาพ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak ของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” โพสต์หลังอดอาหารสู่สัปดาห์ที่ 3 ระบุว่า

“ครบรอบ 3 สัปดาห์ แห่งการอดอาหาร

การอดอาหารประท้วงความยุติธรรมของผมล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 แล้ว และเป็น 2 สัปดาห์ที่ผมไม่ดื่มอะไรเลยนอกจากน้ำและเกลือแร่ สุขภาพกายของผมก็เป็นไปตามสภาพของคนที่ไม่ได้กินอาหาร แขนและขาของผมร่วงโรยไม่อาจเดินระยะไกลๆ ได้เอง ต้องอาศัยคนพยุงและรถเข็น และต้องมีสายน้ำเกลือห้อยติดตามตัวมาเป็นเวลาเกือบ 10 วันแล้ว อย่างไรก็ตาม สุขภาพใจและความคิดของผมยังคงเข้มแข็ง และผมตั้งใจจะอดอาหารไปจนกว่าศาลจะตอบคำถามว่าด้วยตามยุติธรรม 3 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. ศาลเคยกล่าวกับผมว่า “ศาลเป็นกลางและเป็นธรรม” หากศาลเป็นกลางและเป็นธรรมจริง เหตุใดท่านจึงปล่อยตัวแกนนำ กปปส. 8 คน ซึ่งถูกศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่ามีความผิด แต่กลับคุมขังพวกผมไว้ทั้งที่ยังไม่มีศาลใดพิพากษาว่าพวกผมมีความผิดใดๆ เลย

2. ศาลเคยกล่าวกับผมว่า “ศาลให้สิทธิพวกผมต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่” แต่พวกผมจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ได้อย่างไร ในเมื่อท่านชิงคุมขังผมไปก่อนแล้ว ผมก็ไม่สามารถไปหาพยานหลักฐานมาสู้คดีได้แล้ว จะปรึกษาทนายความก็ทำได้อย่างจำกัดและต้องพูดผ่านโทรศัพท์ซึ่งอาจถูกดักฟัง แม้กระทั่ง การจะพูดคุยกับเพื่อนที่ถูกฟ้องร้องด้วยกันก็ทำได้ลำบาก เช่นนี้หรือคือสิทธิการสู้คดีอย่างเต็มที่ดังที่ศาลกล่าว

3. ศาลเคยกล่าวกับผมว่า “ศาลไม่มีอคติและไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง” แล้วเหตุใดท่านจึงเขียนในคำสั่งไม่ให้ประกันตัวผม ว่าผมเป็นผู้ที่เหยียบย่ำหัวใจของคนไทยผู้จงรักภักดีทั้งประเทศ และยังบอกด้วยว่าการปราศรัยของผมตามเวทีต่างๆ เป็นการกระทำความผิดซ้ำซาก ทั้งที่ยังไม่มีศาลใดตัดสินว่าผมมีความผิดเลย ศาลได้ใช้อคติตัดสินโดยไม่ต้องไต่สวนไปแล้วว่าให้ผมมีความผิดใช่หรือไม่

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การอดอาหารของผมจะส่งผลให้ศาลลุกขึ้นมาตอบคำถามเหล่านี้ ไม่ใช่ต่อตัวผม แต่ต่อคนทั้งสังคมที่กำลังจับจ้องท่านอยู่

อนึ่ง ผมได้รับจดหมายจากพี่น้องหลายคนร้องขอให้ผมยุติการอดอาหาร ผมไม่อาจยุติการอดอาหารและใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่มีสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรมได้ เพราะสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรมนี้ไม่ได้ถูกปล้นไปจากเฉพาะตัวผม แต่จากคนทั้งชาติ ผมขอขอบคุณทุกความเป็นห่วงที่มีให้ผม

และขอให้ทุกท่านที่เป็นห่วงและเข้าใจเจตนารมณ์การต่อสู้ของผม ร่วมกันถามคำถามทั้ง 3 ข้อนี้ต่อศาล ไม่ว่าจะยืนอยู่หน้าศาล การเขียนจดหมาย การโทร.ถามหรือวิธีการอื่นใด เพื่อให้ศาลได้ตระหนักคิดว่าพวกเขาไม่ใช่เจ้านายประชาชน แต่เป็นผู้รับใช้ประชาชน และต้องรับผิดชอบต่อประชาชน”

แน่นอน, อาจกล่าวได้ว่า การต่อสู้ทางการเมือง ระหว่างกลุ่มคนที่ต้องการ “ปฏิรูปสถาบัน” กับกลุ่มคนที่มีความจงรักภักดี และปกป้องสถาบัน ต่างก็พยายามต่อสู้กันด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริงที่อาจถูกอีกฝ่ายบิดเบือนอย่างเต็มที่ เนื่องจากศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ที่มีกลุ่มคนไทย เรียกร้องทะลุเพดาน การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันอย่างตรงไปตรงมา ไปสู่การ “ปฏิรูปสถาบัน” ถึง 10 ข้อ ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ในขณะนี้ แต่ก็ถือว่าได้จุดประกายความฝันของคนบางกลุ่มขึ้นมา

แต่ถึงกระนั้น คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ยังมีความจงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย จนเป็นที่ยอมรับ แม้แต่ “ศาสดา” ล้มเจ้าของพวกเขาเอง ด้วยเหตุนี้การต่อสู้ทางความคิดกับประชาชนส่วนใหญ่ จึงอาจมีการบิดเบือนโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี สุดแท้จะทำได้ ซึ่ง เป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องใช้วิจารณญาณอย่างสูง

เหนืออื่นใด คือ การเคลื่อนไหว ที่แม้ว่าจะยึดโยงอยู่กับการปฏิรูปสถาบัน ข้ออ้างความไม่เป็นประชาธิปไตย การขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และองคาพยพ การเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ทั้งหมด ล้วนมีกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝงอยู่ทั้งสิ้น

เอาง่ายๆ ขณะนี้มีนักการเมืองบางกลุ่มถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี เพราะคดียุบพรรค จากการทำผิดของตัวเอง ที่อาจรอจังหวะกลับเข้าสู่การเมือง ถ้ารัฐธรรมนูญใหม่เปิดช่อง มีกลุ่มคนลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งถูกพิพากษาจำคุก จากคดีที่ตัวเองก่อ อยากกลับเข้ามามีอำนาจ ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “นิรโทษกรรม” หรือเปิดช่อง และหรือ ถ้าพวกเขาทำสำเร็จถึงขั้นเปลี่ยนแปลงประเทศ คิดดูว่า ใครจะมาเป็นหุ่นเชิดให้กับมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง และช่วยปฏิวัติ

จึงไม่แปลก ที่จะมีการจัดตั้ง “ซ้ายไร้เดียงสา” ออกมาเผชิญหน้าแทน เพราะจะได้ความบริสุทธิ์ในสายตาคนทั่วโลก และไม่ให้ผู้มีอำนาจกล้าใช้ความรุนแรง กดบีบเอาไว้ ขณะอีกหลายด้าน ก็มุ่งทำลายความชอบธรรมทุกอย่าง ของทั้งสถาบัน และรัฐบาล เพราะเชื่อว่า มีความยึดโยงกันนั่นเอง รวมทั้งการแก้รัฐธรรมนูญ กฎกติกา ตัดแขนขาทิ้ง จนทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป

คิดดู ถ้าฝ่ายนี้หมดอำนาจ ฝ่ายไหนจะขึ้นมาแทน เรื่องมันก็แค่นี้เอง ส่วนข้ออ้างก็ยังเป็นข้ออ้าง อยู่นั่นเอง ถามว่า อ้างมาหลายสิบปี มีอะไรเป็นจริงบ้าง ตอบตัวเองให้ได้ก็จบ


กำลังโหลดความคิดเห็น