ชำแหละให้เห็นเป็นชิ้นๆ! “ดร.สุวินัย” ลากไส้ “จตุพร” ย้อนอดีตปี 53 ตัวแปร “ความรุนแรง-สงครามกลางเมือง” ยังเป็น “คางคกสารพัดพิษ” ไม่เคยกลับใจ “เพจดัง” ชี้ “คนไทยเอ็ดดูเขต” “ตู่” ตกหลุม io ผิดที่ ผิดทาง ผิดเวลา
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 เม.ย. 64) เฟซบุ๊กชื่อ Suvinai Pornavalai ของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย โพสต์กรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จัดเวที ปราศรัยอภิปรายสาธารณะ “ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย” ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพวก ที่สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม ระบุว่า
“จะเข้าใจม็อบ 444 ของตู่ จตุพร ให้ทะลุ
เราควรย้อนไปทำความเข้าใจ ความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในปี 2552-2553 เสียก่อน
เพราะนี่คือการชุมนุมใหญ่ที่ลุกฮือลงถนนของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ที่สำคัญมาก
ม็อบคนเสื้อแดงปี 52-53 เป้าหมายชัดเจนมาก คือ เริ่มจากใช้ “ไม้อ่อน” ก่อน คือ ความพยายามถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับทักษิณ ชินวัตร (ซึ่งทำไม่ได้ในทางกฎหมาย เพราะทักษิณเป็นนักโทษหนีคดี)
พอใช้ไม้อ่อนไม่เป็นผล ม็อบคนเสื้อแดงก็เปลี่ยนมาใช้ “ไม้แข็ง” ทันที เพราะเตรียมการไว้แล้ว นั่นคือ
ปล่อยข่าวเท็จเกี่ยวกับสถาบันฯ โจมตีใส่ร้ายว่าสถาบันฯ ไม่รักประชาชนที่มาขอความเป็นธรรมให้ทักษิณ ... เพื่อให้มวลชนคนเสื้อแดงโกรธแค้นต่อสถาบันฯ
จากนั้น จึงเคลื่อนไหวโดยชู “วาทกรรมโค่นอำมาตย์” ตั้งเป้าถอดสถาบันฯลงมาเป็นสามัญชน
การเคลื่อนไหวล้มเจ้าอย่างเป็นระบบและอย่างคึกคัก ในโลกออนไลน์ปรากฏชัดเจนในช่วงนี้ คู่ขนานไปกับการเคลื่อนไหวบนท้องถนนของม็อบคนเสื้อแดงในปี 52-53
แต่การจะโจมตีใส่ร้ายสถาบันฯได้สะดวกโดยไม่ผิดกฎหมาย จะต้องจัดการกฎหมายมาตรา 112 ให้ได้ก่อน
การเคลื่อนไหวของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อแก้ไขมาตรา 112 จึงเกิดขึ้นในช่วงนั้น เพื่อหนุนช่วย “ขบวนการล้มเจ้า” ของคนเสื้อแดงในตอนนั้นนั่นเอง
ในที่สุดการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในปี 2553 ได้บานปลายไปเป็น “สงครามกลางเมืองที่มีการใช้อาวุธสงคราม” เพราะการปรากฏตัวของกลุ่มติดอาวุธที่เป็นชายชุดดำ
“สงครามกลางเมือง” ครั้งนั้น มีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากทั้งคนเสื้อแดงและเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตจากชายชุดดำที่เป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
สิ่งนี้แสดงว่า ขบวนการคนเสื้อแดงในปี 52-53 มีครบทั้ง มวลชนของตัวเอง พรรคการเมืองของตน และกลุ่มติดอาวุธในการบัญชาการของตัวเอง ... ที่เรียกกันว่า “ครบแก้วสามประการ”
ม็อบคนเสื้อแดงปี 52-53 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ก็จริง แต่ปี 2554 รัฐบาลของน้องสาวทักษิณ กลับชนะการเลือกตั้งด้วยนโยบายขายฝันประชานิยมสุดขั้ว ไม่ว่านโยบายจำนำข้าว นโยบายรถคันแรก ฯลฯ
รัฐบาลของน้องสาวทักษิณ มีเป้าหมายสูงสุดคือ การลบล้างคดีของทักษิณทั้งหมด ...โดยเอาการตายของประชาชนและเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์ปี 2553 มาอ้างความชอบธรรมเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมชนิดสุดซอย
ทำให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยผ่านการโหวตในรัฐสภาจนได้
ขบวนการ กปปส. (ม็อบนกหวีด) เกิดขึ้นทันที เพื่อปกป้องกระบวนการยุติธรรมในปลายปี 2556 โดยที่ฝ่ายทักษิณก็ใช้คนเสื้อแดงหัวรุนแรงออกมาข่มขู่ ป่วนการชุมนุมของม็อบ กปปส. ด้วยอาวุธปืนและระเบิด M79 จนมีผู้ชุมนุม กปปส. เสียชีวิตหลายคน
ในที่สุดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนั้น จบลงด้วยการรัฐประหารของกองทัพในปี 2557 เพื่อผ่าทางตันและยับยั้ง “สงครามกลางเมือง” ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
เป้าหมายอันดับรองลงมาของคณะรัฐประหาร คือ การสลาย “ระบอบทักษิณ” อย่างเป็นขั้นตอนด้วยรัฐธรรมนูญปี 2560
ซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดและทรงพลังที่สุดของขั้วอำนาจฝั่งนี้
บทบาททางการเมืองของธนาธร และปิยบุตร โดดเด่นขึ้นมาแทนทักษิณในช่วงหลังรัฐประหารปี 2557 เมื่อทั้งคู่ร่วมกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพื่อสานต่อภารกิจการปฏิวัติ 2475 ในเชิงอุดมการณ์ ขณะที่พรรคเพื่อไทยของทักษิณ ปรับเปลี่ยนแนวทางมาเป็น “สู้ไปกราบไป”
และวางฐานะตัวเองเป็นแนวร่วมและกองหลังให้ขบวนการปฏิวัติล้มเจ้าที่นำโดยธนาธรและปิยบุตรแทน
การที่พรรคอนาคตใหม่ของธนาธร-ปิยบุตร ถูกยุบหลังจากมีบทบาทในรัฐสภาไม่ถึงปี เพราะสะดุดขาตัวเองทางข้อกฎหมาย
ทำให้ธนาธรกับปิยบุตรกลับมาเร่งเกมล้มเจ้าให้จบภายในสองปี แทนที่จะเป็นยี่สิบปี เหมือนที่วางไว้ในตอนแรกๆ
เกมล้มเจ้าที่หลอกใช้พวกเด็ก ยุพวกเด็กออกมาเป็นแกนนำหุ่นเชิด ปลุกระดมมวลชนคนรุ่นใหม่ ...ดำเนินไปอย่างคึกคักในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ ตั้งแต่ต้นปี 2563 ...
จนกระทั่งเกิดม็อบเยาวชนปลดแอก ที่ชูนโยบายปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ เป็นเป้าหมายหลักของการชุมนุม ในวันที่ 10 สิงหาคม 2563
ภายในเวลาเพียง 7 เดือน ม็อบเยาวชนปลดแอกก็ฝ่อลงอย่างรวดเร็ว เพราะการนำแบบสุดโต่งและซ้ายไร้เดียงสาของพวกแกนนำเยาวชนหุ่นเชิด
....ตรงนี้แหละที่เกิด “ช่องว่าง” ให้ฝั่งทักษิณส่งคนของตนออกมาช่วงชิงการนำแทน
ที่แล้วมา ตู่ จตุพร ไม่ได้กลับใจหรอก เขาคือ “คางคกสารพัดพิษ” ที่ปรับตัวเก่งเท่านั้น
และครั้งนี้มันชัดเจนเหลือเกินว่า เขารับงานมา ...มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นอันขาดที่อยู่ดีๆ ตู่ จตุพร ก็เข้ามารับช่วงต่อจากม็อบ 3 นิ้วที่เพิ่งล่มสลายไปหมาดๆ
ส่วนพวกคนสูงวัยที่เข้าร่วมม็อบ 444 ของจตุพร ก็ล้วนแต่เป็นพวกหิวแสงที่เลอะเลือนแล้วทั้งสิ้น
สังคมไทยได้ล้ำหน้าและก้าวข้ามคนพวกนี้ไปแล้ว แต่คนพวกนี้ยังไม่สำเหนียกเท่านั้นเอง”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์หัวข้อ “คนไทยเอ็ดดูเขต จตุพรตกหลุม io ผิดที่ ผิดทาง ผิดเวลา”
---------------------
โดยระบุว่า “io ชุดหนึ่งบอกว่า ถ้าม็อบไม่ก้าวล่วงสถาบันฯ จะมีคนออกมาไล่รัฐบาลเยอะกว่านี้ ซึ่งเป็นชุดข้อมูลที่ถูก แต่จังหวะเวลามันผ่านไปนานแล้ว
เพราะ ม็อบปลดแอก พามวลชนไปสุดทาง เปิดหน้าชนสถาบันฯ หมิ่นประมาท ใส่ร้าย และคุกคามสถาบันฯ เต็มที่ ตอนแรกก็คึก เพราะเด็กเข้าร่วมเยอะ ผสมกับการปั่นข่าวปลอมในกลุ่มปวิน จนพีกสุดในวันปักหมุดคณะราษฎร 2563
แต่หลังจากนั้น ม็อบก็ฝ่อลง เพราะปัญหาในตัวม็อบเอง มีการคุกคามทางเพศ ล่วงละเมิดเด็กๆ ในม็อบ ปัญหาแกนนำแย่งกันคุมเงิน แย่งเงินบริจาค แย่งกันกุมอำนาจ ถีบพวกเดียวกันออกไป ทำให้มวลชนบางส่วนเริ่มถอยห่าง
ประกอบกับ คอนเทนต์เรื่องสถาบันฯ เริ่มถูกโต้แย้งมากขึ้น แกนนำที่อวยกันจนโอเวอร์ อย่าง “รุ้ง” ผู้ทรงอิทธิพลระดับโลกของบีบีซี กลับโดนฟาดตายคารายการจอมขวัญ แบบคนละชั้น กลุ่มปวินเริ่มเล่นบูลลี่ราชวงศ์ จนไร้สาระ ยุวชนบางส่วนที่ยังพอมีสติ จึงเริ่มคิดทบทวน
ประวัติศาสตร์ต่างๆ เริ่มถูกคลี่คลาย โดยเฉพาะความเลวร้ายของคณะราษฎร 2475 จน ทายาท ขุนนิรันดรชัย ต้องออกมาตั้งโต๊ะสำนึกผิดแทนบิดา ที่ปล้นคลังหลวงร่วมกับคณะราษฎร
คดีทุจริต สินบน รุกที่ป่า ซุกเรือยอชต์ ของ คนที่เด็กๆ คิดว่าเป็นฮีโร่ อย่าง ธนาธร สร้างความเสื่อมศรัทธาอย่างหนัก วาทกรรมที่โดนจับโกหกได้นับครั้งไม่ถ้วน จนเกิดเหตุการณ์ แลนด์สไลด์ อย่างน่าอดสู
อ.ไชยันต์ ออกมาเชือด วิทยานิพนธ์ และ หนังสือฟ้าเดียวกัน ที่สร้างหลักฐานเท็จ บิดเบือนใส่ร้ายสถาบันฯ จนเกิดอาการดิ้นพล่านของนักวิชาการ 3 นิ้ว...
ความรุนแรง ที่ม็อบสร้างขึ้น ถูกบันทึกภาพและวิดีโอไว้หมด แกนนำทยอยโดนจับ มวลชนเริ่มหลีกหนี ไม่อยากเคลื่อนไหวแบบไร้สติเช่นนั้น
ภาพของ NGOs ต่างชาติ ที่รับเงินมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวในประเทศ เป็นเวลาหลายปี เริ่มแสดงตัวชัดเจนขึ้นทุกที ทำให้คนไทยเริ่มตระหนักรู้ว่า มีการแทรกแซงจากต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระทบความมั่นคงของชาติ ทุกอย่างเคลื่อนไหว สอดประสานกันหมด
ทั้งนักวิชาการอีแอบ และ อินฟลูเอนเซอร์อีแอบ เปิดหน้ากันออกมา ที่เคยเก็บซ่อนความคิดตัวเองไว้มิดชิด ก็ต้องหงายไพ่ออกมา เป็นสัญญาณที่ยืนยันชัดว่า ขบวนการล้มล้าง หมดตัวเล่น ต้องเข็นตัวที่เคยเคลื่อนไหวลับๆ ออกมาสู้ด้วย
สิ่งที่ ม็อบ 3 นิ้ว หรือ จตุพร ไม่รู้ คือ ในขณะที่ ม็อบปลดแอก พุ่งประเด็นโจมตีไปที่สถาบันฯ ทำให้มวลชนส่วนหนึ่ง ที่เบื่อประยุทธ์ ไม่ชอบรัฐบาล หันไปยืนข้างประยุทธ์ เพราะไม่เอาด้วยกับการบ่อนทำลายสถาบันฯ แม้ว่าม็อบจะพยายามตอแหลว่า หวังดี อยากปฏิรูป แต่พฤติกรรมของม็อบ ทั้งป้ายหมิ่น ด่า กูสั่งให้มึงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เผารูปในหลวง บุกพระราชวัง มันเป็นหลักฐานชัด ว่า ไม่ได้คิดล้มรัฐบาล แต่หวังจะล้มสถาบันฯ หลายคนจึงพร้อมใจ ยืนข้างประยุทธ์ (แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยืนข้างรัฐบาล) เพื่อรักษาสถาบันฯสูงสุดเอาไว้
เพราะ ในขณะที่ม็อบ นักการเมือง กลุ่มการเมือง กำลังก่อเหตุ สร้างความวุ่นวายไปทั่ว สถาบันฯก็ออกช่วยเหลือประชาชนในวิกฤตโควิด อย่างต่อเนื่อง ทั้งอุปกรณ์แพทย์พระราชทาน ถุงยังชีพ รถตรวจโควิด ของในหลวง การรับดูแลผู้บาดเจ็บจากการชุมนุมทุกคนโดยไม่เลือกฝ่าย...
ตอนนี้ประเด็นเคลื่อนไหว พยายามโจมตีไปที่การบีบให้แก้ไขหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ แต่คนไทยไม่อิน เพราะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรกับรัฐธรรมนูญ แต่กลับมองว่า มีแต่นักการเมืองที่เดือดร้อน เพราะกฎหมายทุจริตที่แข็งโป้กของ รธน.60...
สถานการณ์เปลี่ยนไปนานแล้ว แต่จตุพรยังโดนหลอกด้วย io ที่ใช้งานไม่ได้ จริงๆ แล้ว คนประสบการณ์สูงอย่าง จตุพร ก็น่าจะรู้ตัวอยู่ ถ้ามองบวก ไม่คิดว่าจตุพรโง่ ก็ต้องมองว่า #จัดม็อบเพื่อหลอกแดกคนแดนไกลเท่านั้น
ยังเหลือ หมากตาสุดท้ายคงต้องหวังพึ่ง พี่เต้น YNWA ที่เตรียมเปิดตัวนำม็อบปลดแอก แต่ข้อสำคัญที่สุด ถ้าหวังจะนำม็อบเด็ก พี่เต้น ต้องเดินหน้าสุดซอย ไม่งั้นถึงไปก็เสียหมา เสียผู้เสียคน
ว่าแต่พี่เต้น จะเตรียมใจพร้อมก้าวเท้าเข้า Final Stage หรือยัง...”
แน่นอน, สิ่งที่ทั้งสองโพสต์สะท้อนให้เห็น ก็คือ การที่อยู่ๆ นายจตุพร ก็ประกาศระดมสมัครพรรคพวก “สลายสี” เลิกแบ่งขั้วแบ่งฝ่าย มาร่วมกันจัดม็อบ เพื่อขับไล่ลุงตู่ และไม่แตะต้องสถาบันฯ จะเพียงแค่ นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชน 35 ชักชวน เท่านั้น? อย่างที่ “จตุพร” กล่าวอ้าง
แล้วที่สำคัญ ทั้งเพจเฟซบุ๊ก The METTAD และ ดร.สุวินัย พยายามจะชี้ให้เห็นก็คือ เป้าหมายที่แท้จริง อาจไม่ได้จบเพียงแค่ “ล้ม พล.อ.ประยุทธ์ และพวก” ก็เป็นได้
โดย พล.อ.ประยุทธ์ อาจเป็นแค่บันไดขั้นแรก ที่จะเหยียบไปสู่ขั้นต่อไป เรื่องนี้ ดร.สุวินัย วิเคราะห์ให้เห็นแล้วว่า ม็อบ “จตุพร” มักเริ่มจากอ่อนไปหาแข็ง เล็กไปหาใหญ่ ดังนั้น ที่ประกาศว่าจะไม่แตะสถาบันฯ ใครจะกล้าการันตี
เว้นเสียแต่ ทำอย่างไรม็อบก็ไม่ติดลมบน ผู้คนเบื่อหน่ายอย่างที่มีคนวิเคราะห์ สุดท้าย ก็คงไม่ต่างจากม็อบผู้อาวุโสหิวแสง อย่างที่ ดร.สุวินัย ว่า ก็ไม่แน่เหมือนกัน
เอาเป็นว่า ทุกอย่างล้วนน่าคิดน่าฟังทั้งสิ้น แม้อาจไม่เป็นไปตามนั้นทั้งหมดก็ตาม