เมืองไทย 360 องศา
เป็นคำถามและมีข้อสังเกตตามมาหลังจากได้เห็นการเคลื่อนไหวกันแบบ “รัวๆ” ของ “กลุ่มบุคคล” รวมไปถึง “บุคคล” ที่โผล่ออกมาแบบโดดๆ กันอย่างหนุนเนื่องในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แต่หากพิจารณาทั้งจากบุคคล และความเชื่อมโยงทั้งในอดีตและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงการ “ได้ประโยชน์” มันก็พอเห็นคำตอบได้ชัดเจนมากขึ้นว่า คนพวกนี้ล้วนมีความเชื่อมโยงกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคดีทุจริตหลายคดี อยู่ในต่างประเทศเวลานี้นั่นเอง
แน่นอนว่า การนัดชุมนุมที่มีเป้าหมายประกาศว่าต้องการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับพวกภายใต้ “กลุ่ม 3 ป.” อันนอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์ แล้วยังมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ป.ป๊อก) และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
โดยการชุมนุมจะเริ่มดีเดย์กันในวันที่ 4 เมษายน ใช้ฤกษ์ 4-4-4 นั่นคือ วันที่ 4 เดือน 4 และเริ่มดีเดย์เวลา 4 โมงเย็น ภายใต้ชื่อ “สามัคคีประชาชนขับไล่ประยุทธ์”
แต่ที่น่าจับตาก็คือ ผู้นำการประสานงานม็อบคราวนี้เป็น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่หากพิจารณากันตามสถานะในปัจจุบันแล้ว จัดอยู่ในประเภท “ลูกน้องเก่า” เพราะบทบาทที่ผ่านมา ถือว่า “ห่างเหิน” กันไปมาก หรืออาจจะถึงขั้น “อยู่กันคนละฝ่าย” กันไปแล้ว เมื่อครั้งการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปลายปีที่แล้ว ที่มีการ “สาวไส้” กันอย่างดุเดือดไม่ไว้หน้ากันมาแล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากบทบาทการเคลื่อนไหวของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ในช่วงที่ผ่านมา อาจมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวในแบบ “อิสระ” ว่ากันไปตามสถานการณ์ หรือจะเรียกว่า “เป็นจ็อบๆ” ก็เป็นได้ อย่างเช่นเมื่อครั้งการเลือกตั้ง ส.ส. เขาถือหางพรรคเพื่อชาติ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป ซึ่งมองตามอาการแล้ว เหมือนกับว่า ลึกๆ แล้วไม่ค่อยสวยนัก ถัดมาก็ขึ้นเวที “ด่าเจ๊อัปรีย์” และเจ๊คนนั้นก็เป็น “ขาใหญ่” ในพรรคเพื่อไทย และให้กระชับเข้าไปอีกก็คือ “เป็นเจ๊ทางภาคเหนือในเชียงใหม่” นั่นแหละ
แต่กลายเป็นว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นว่านายทักษิณ ชินวัตร กำลังจะหันกลับมาใช้บริการของนายจตุพร พรหมพันธุ์ “ลูกน้องเก่า” อีกครั้ง เพราะเมื่อมองจากการเคลื่อนไหวล้วนเชื่อมโยงกันอย่างเหมาะเจาะพอดี ไม่ว่าจะเป็นการโผล่ออกมาใช้โซเชียลฯ ของนายทักษิณ ในชื่อ “โทนี” และบรรดาเครือข่ายเก่าๆ ที่ล้วนเป็นอดีต “คนเดือนตุลา” ที่ออกโรงในช่วงก่อนวันสุกดิบกันอย่างผิดสังเกต
และที่สำคัญการเคลื่อนไหวภายใต้กลุ่มที่เรียกว่า “สามัคคีประชาชน” อะไรนั่น กำลังเกิดขึ้นภายหลังจากที่เข็น “ม็อบสามนิ้ว” ไปต่อไม่ไหวแล้ว เพราะไม่ว่าแนวทาง และยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว ถือว่า “ล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิง กลุ่มบุคคลรวมไปถึงพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานี้ถือว่า “หมดสภาพ” ไม่อาจสร้างกระแสนำได้อีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่พิสูจน์ออกมาให้เห็นแบบที่โกหกไม่ได้ก็คือ ผลการเลือกตั้งทั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และล่าสุด การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีทั่วประเทศ ที่คนของพวกเขาแพ้แบบราบคาบ เรียกว่า “ย่อยยับ” สภาพก็ไม่ได้แตกต่างจากพวกม็อบสามนิ้ว ที่ไม่มีมวลชนเข้าร่วมเป็นหลักพันอีกต่อไปแล้ว
เมื่อสภาพของ “ม็อบสามนิ้ว” ที่ไม่อาจคุกคาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สั่นสะเทือนได้มากกว่านี้ และในทางตรงกันข้าม การเคลื่อนไหวของ “ม็อบล้มเจ้า” พวกนี้ ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งถูกมองว่ากลับ “สร้างความแข็งแกร่ง” ให้มากกว่าเดิมอีกต่างหาก
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการจุดม็อบขึ้นมาแล้ว มันก็คงไม่อาจปล่อยให้ “ฝ่อ” ลงไปแบบเงียบๆ ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ บรรดาพวก “คนเดือนตุลา” ที่เคยคลุกคลีกับมวลชนมาช้านาน ก็คงย่อมไม่ปล่อยเอาไว้แน่ และนี่อาจจึงเป็นที่มาของ “กลุ่มสามัคคีประชาชน” ก็เป็นได้ และอย่าได้แปลกใจ ที่ต้องมีการ “ปรับแต่งโฉม” กันใหม่ จากเดิมพวกสามนิ้วเน้น “ล้มเจ้า” เมื่อถึงทางตันก็ต้องเปลี่ยนแนวมาเป็น “ล้มประยุทธ์” เพื่อหวังสร้างแนวร่วมแบบ “สหบาทา”
แต่ก็อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้นนั่นแหละ ถึงอย่างไรสถานการณ์เวลานี้มันเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นมวลชน โดยเฉพาะ “คนเสื้อแดง” ที่เวลานี้ “ย้ายค่าย” แตกฉานซ่านเซ็นไปเกือบหมดแล้ว ที่สำคัญ “ย้ายหมู่บ้าน” ไปอยู่ในสังกัด “หมู่บ้านลุงตู่-ลุงป้อม” เกือบหมดแล้ว แม้ว่านายจตุพร พรหมพันธุ์ จะเป็น ประธาน นปช. แต่ในความเป็นจริงก็แค่ในนามเท่านั้น ไม่มีพลังหนักแน่น เมื่อครั้งสังกัดนายทักษิณ ชินวัตร ที่เคยมีอำนาจรัฐรองรับ
นอกเหนือจากนี้ ประเด็นในการเคลื่อนไหว มันกลายเป็นเรื่องของ “ความจำเป็นระดับรองลงไป” ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนคอขาดบาดตาย เหมือนกับปากท้อง และที่สำคัญชาวบ้านเขามองออกว่า หากเกิดการเปลี่ยนแปลงมันก็ไม่ต่างจากการ “เตะหมูเข้าปากหมา” ไม่มีอะไรดีขึ้นทันตา ตรงข้ามอาจเลวร้ายกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ดังนั้น หากพิจารณาจากภาพรวมๆ เท่าที่เห็นของม็อบไล่ประยุทธ์คราวนี้จึงไม่ต่างจากการ “สหบาทาแบบรวมการเฉพาะกิจ” ที่ไม่อยากปรามาสว่า “ไร้พลัง” แต่บอกได้แค่ว่าเป็นม็อบฉวยโอกาสของฝ่ายนายทักษิณ ชินวัตร ที่หวังฟลุก ขณะที่แกนนำบางคนก็ “รับจ็อบ” ในช่วงสถานการณ์โควิดเท่านั้นเอง!