เมืองไทย 360 องศา
ถ้าบอกว่าออกมาได้จังหวะพอดีก็อาจจะใช่ สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ ระยะหลังมักจะโผล่หน้าออกมาให้เห็นผ่านทางโลกโซเชียลฯ ในห้อง“คลับเฮาส์ ในชื่อ“โทนี่”หรืออีกหลายช่องทางของการสื่อสารยุคใหม่ แต่ที่น่าสังเกตก็คือ เป็นลักษณะการเคลื่อนไหวแบบ“ถี่ๆ”จนน่าสังเกต
ประกอบกับในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีการประกาศเคลื่อนไหวนัดชุมนุมของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ลูกน้องเก่า ที่แม้ว่าระยะหลังจะดูเหมือนกับว่า “ไม่ค่อยลงรอยกัน”มีการสาวไส้ เปิดศึกน้ำลายกันดุเดือดพอสมควร ระหว่างการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ที่ทั้งคู่แม้ว่าจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่กลับมีการ“ถือหาง”กันคนละฝ่าย จนเปิดศึกชนกันที่จังหวัดเชียงใหม่
โดยอย่างที่รู้กันมาก่อนหน้านี้ว่านายทักษิณ ชินวัตร ออกโรงหนุนนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้สมัครนายกฯองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ที่พรรคเพื่อไทยส่งลงสมัคร ถึงขนาดที่ว่านายทักษิณ ทำทุกทางทั้งเขียนจดหมายเปิดผนึก ทั้ง“อู้คำเมือง”อ้อนวอนขอให้ชาวเชียงใหม่อย่าทิ้งกัน
ขณะที่นายจตุพร พรหหมพันธุ์ สนับสนุนนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ และนายจตุพร ได้ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยหาเสียงอย่างเต็มที่ ที่น่าสนใจก็คือ มีการสาวไส้นายทักษิณ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อพุ่งไปตรงๆ ก็ตาม แต่สำหรับบรรดา“เจ๊ๆ”ทั้งหลาย ถึงขนาดระบุว่า“อัปปรีย์”กันเลยทีเดียว และ“เจ๊”ในภาคเหนือเชื่อว่าหลายคนคงน่าจะเดาออกว่าเป็นใคร
แม้ว่าผลการเลือกตั้งออกมา ผู้สมัครที่นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยสนับสนุนจะชนะก็ตาม แต่ก็ถือว่า“ไม่หมู”เพราะอีกฝ่ายในพื้นที่เชียงใหม่ถือว่า“ขาใหญ่”ไม่เบาเหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างพยายามเลี่ยงไม่อยากเผชิญหน้า แต่จากการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดคราวที่แล้ว มันก็ย่อมกินใจลึกลงไปอีก แต่หากพิจารณาถึงความเสียหายแล้วก็ต้องถือว่า นายทักษิณเสียหายยับเยิน เสียเครดิตถึงขนาด“ลดชั้น”ลงมาเล่นในระดับท้องถิ่น อบจ.กันแล้ว
จนมาถึงการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนคร นครเชียงใหม่ ที่สองกลุ่มการเมืองต้องโคจรมาพบกันอีก และคราวนี้ทีมของ“บูรณุปกรณ์”แก้มือสำเร็จ ยังส่งทายาทรักษาเก้าอี้ได้อย่างมั่นคง
นั่นเป็นแบ็กกราวด์คร่าวๆ ที่พยายามชี้ให้เห็นว่าระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ใช่ “นาย”กับ “ลูกไล่”หรือลูกน้องแบบเดิมแล้ว เพราะหลังจากนายจตุพร ออกมาจากคุกและถูกตัดสิทธิ์การเมือง10 ปี ก็มีท่าทีชัดเจน“ไม่เหมือนเดิม”แม้ว่าจะไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ทางใครทางมัน
ขณะเดียวกันหากโฟกัสไปที่ท่าที และการเคลื่อนไหวของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ดูเหมือนจะพยายามเคลื่อนไหวแบบ“อิสระ”ที่คิดว่าตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด และที่สำคัญดูไม่ต่างจาก“มือปืนรับจ้าง”เหมือนกับ“รับงานเป็นจ็อบๆ”เสร็จภารกิจก็แยกย้ายกันไป เหมือนกับก่อนหน้านี้ช่วงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่เขาสนับสนุนพรรคเพื่อชาติ ของนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เสี่ยห้างอิมพีเรียลสำโรง แต่พอหลังจากนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เหมือนกับกรณีของนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ เมื่อคราวหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่
ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงการเคลื่อนไหวล่าสุดที่บังเอิญมาสอดคล้องระหว่างกันพอดีทั้งนายทักษิณ ชินวัตร และนายจตุพร พรหมพันธุ์ และพ่วงมาด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เพิ่งถอดกำไลข้อเท้าที่ควบคุมนักโทษของกรมราชทัณฑ์ได้เพียงไม่กี่นาที ก็ตั้งโต๊ะแถลงแสดงตัวเองให้เป็น“ไอดอล”ของพวก “ม็อบสามนิ้ว”
แม้ว่าที่ผ่านมาทั้งสามคนจะมีที่มาเดียวกัน แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็ต้องแยกกันไปบ้าง แต่สำหรับนายณัฐวุฒิ นั้นท่าทียังแสดงให้เห็นว่าเป็น“มือไม้”ของทักษิณ ไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการโฟกัสไปที่การประกาศนำลงถนนอีกครั้งของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่คราวนี้มาในชื่อ“สามัคคีประชาชน”ใช้ตัวเลข 4-4-4 คือ วันที่ 4 เดือน 4 และ 4 โมงเย็น เพื่อขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และน่าสนใจก็คือ เป็นการชุมนุมที่ไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็สอดคล้องกับคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เน้นเฉพาะเรื่องรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ ทำให้จับตามองกันว่า ม็อบที่ว่านี้“มีใครบ้างที่มาสามัคคี”และใครที่สวมบท“มือปืนรับจ้าง”อีกครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าเป็นม็อบที่เกิดขึ้นในช่วงจังหวะที่“ม็อบสามนิ้ว”ฝ่อจนติดดิน บรรดาเด็กๆนักศึกษาที่ถูกเชิดออกมาล้วนทยอยเข้าคุกกันเกือบหมดแล้ว มันถึงได้เวลาที่ต้องเปลี่ยนแนวทางเดินใหม่อีกรอบ และสำหรับนายทักษิณ ชินวัตร จึงต้องออกโรงอีกรอบ และคราวนี้ต้องใช้บริการ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อีกรอบ แม้ว่าจะเป็นแบบเฉพาะกิจ แต่อย่างน้อยเพื่อหวังเผื่อฟลุ๊ก เช็กเรตติ้งมวลชนว่ายังหลงเหลืออีกมากน้อย หลังจากแตกสลายแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ที่สำคัญงานนี้เหมือนกับต้องการเบียดพวก“แกนนำสามนิ้ว”ไร้เดียงสา มาเดินหน้านำแทน ซึ่งอาจถือว่ามาได้จังหวะพอดีก็ได้ !!