xs
xsm
sm
md
lg

“ตู่-จตุพร” เดิมพัน “ปธ.นปช.” วัดใจ “เกลอเต้น” ร่วม 3 นิ้ว? “จอม” ซูฮก ได้ใจ 3 นิ้ว “แรมโบ้” ขยี้ ม็อบเพื่อใคร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ การเคลื่อนไหวต่อสู้ในอดีตของ ตู่-จตุพร
เอาล่ะสิ งานนี้มี “วัดใจ”! “ตู่-จตุพร” ประกาศเอาตำแหน่ง “ปธ. นปช.” เป็นเดิมพันกับ “เกลอเต้น” หากร่วมม็อบ 3 นิ้ว “จอม” ซูฮก “ณัฐวุฒิ” แถลงโคตรทรงพลัง เป็นกำลังใจดีเยี่ยม กับเยาวชนที่กำลังต่อสู้ “แรมโบ้” ขู่ แฉไม่หยุดแน่

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (2 เม.ย. 64) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk หัวข้อ “ถึงณัฐวุฒิ และตอบประยุทธ์และพวก” โดยสาระสำคัญตอหนึ่งระบุว่า

เนื่องจากมีผู้คน และสื่อทางช่องทางต่างๆ พยายาม จะจับเสี้ยม เพื่อให้เกิดมีความคิดแตกแยก ซึ่งกันและกัน หลังจากที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้แถลง ภายหลังจากที่ได้ถอดกำไล ตนก็ฟังด้วยความเข้าใจ แต่แน่นอนที่สุด หลากหลายเรื่องราว ก็เป็นผลพวงจากนั้น เพราะว่าตนได้รับคำเชิญของ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 ซึ่งก็อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา อะไรที่เป็นความสุข และก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ยินดีที่จะไปต่อสู้ร่วม เพราะเห็นว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ในกรณีที่ไม่สามารถจะปล่อยให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศชาติได้อีกต่อไป

 ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์ จากแฟ้ม
แน่นอนที่สุด เราต่างฝ่ายต่างก็รู้กันว่า ในช่วงกว่า 15 ปีนี้ เรามีบาดแผลมากมายในส่วนภาคประชาชน ยากที่จะสมาน แต่บาดแผลดังกล่าวมีคนได้รับผลประโยชน์สูงสุด ก็คือ พลเอก ประยุทธ์ และคณะ เพราะฉะนั้นต่างคนต่างก็รู้กันว่า องค์กรนั้นไม่ควรที่จะมาเกี่ยวข้อง เพราะในแต่ละองค์กร ประวัติศาสตร์มีความสูญเสีย มีความเจ็บปวดมีทุกเรื่องราว เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของปัจเจกและปัจเจกนี้ก็ต้องแลกกับความเจ็บปวดกันอีกมากมาย ถ้าไม่ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการกับประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะอยู่ต่ออีกอย่างน้อย 6 ปี เป็นศูนย์ปัญหาของชาติต่อไป

ประธาน นปช. กล่าวต่อว่า ดังนั้น เพื่อความสบายใจทั้งประชาชน มวลชน และพี่น้องทั้งหลาย เพื่อไม่ให้ได้รับการเสี้ยม ให้เกิดความแตกแยกขัดแย้งกันใดๆ ทั้งสิ้น เอาเป็นว่าอย่างนี้ ขอสื่อความกัน เพราะว่า ณัฐวุฒิ เขาก็พูดผ่านมา ผมก็พูดผ่านไป เป็นที่สาธารณะ

“ในวันใด ที่ ณัฐวุฒิ ไปยืนหยัดเคียงข้าง กับบรรดาน้องๆ นักศึกษาคณะราษฎร เฉกเช่นในสมรภูมิเดียวกัน กับ อานนท์ นำภา ไมค์ ไผ่ รุ้ง และเพนกวิน รวมทั้งคนอื่น เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าได้ยืนหยัดเคียงข้าง เหมือนที่ณัฐวุฒิได้ยืนหยัดเคียงข้างกับผมในปี 53 วันไหนก็วันนั้น ผมจะประกาศลาออกจากตำแหน่งประธาน นปช. แล้วก็ยกให้ณัฐวุฒิไป ส่วนจะมีกระบวนการอย่างไรก็ว่ากัน แต่ว่านี่เป็นคำมั่นสัญญา ว่า วันใดเป็นที่ประจักษ์ชัด ว่า ณัฐวุฒิได้ไปร่วมต่อสู้กับคนหนุ่มสาว อย่างที่ผมเคยอยู่ในเหตุการณ์พฤษภา 35

เพราะฉะนั้น ผมไม่ต้องการให้เกิดปัญหาทางความรู้สึกว่าใครสู้มากกว่ากัน แต่เป็นความปรารถนาดีของพี่ชายคนหนึ่งถึงน้องชาย เอาง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน เพราะว่าผมเป็นคนตรงไปตรงมา คำว่า ยืนหยัดเคียงข้าง ไม่ทิ้งกัน เป็นคำที่มีความหมายมาก เพราะฉะนั้นวันใดที่ณัฐวุฒิ อยู่บนสนามของคนหนุ่มสาวคณะราษฎร ร่วมกับ อานนท์ นำภา และคณะ ผมจะลาออกจากประธาน นปช.ให้โดยทันที และมอบให้ณัฐวุฒิรับภารกิจนี้ไป”....

ภาพ จอม เพชรประดับ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน นายจอม เพชรประดับ ผู้สื่อข่าวอิสระ ลี้ภัยในประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

“คำแถลงบอกกล่าวถึงความรู้สึกของ พี่เต้น หรือ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่มีต่อความเสียสละ กล้าหาญของน้องๆ ที่ต่อสู้เพื่อจะมีอนาคตที่ดี อันเนื่องเพราะความผิดพลาดล้มเหลวของรุ่นพี่ๆ ลุง ป้า น้า อา ที่ต้องทำให้เด็กๆ เยาวชนคนรุ่นลูก ในปัจจุบันต้องเอาชีวิตเข้าแลก

เป็นคำแถลงที่เรียกว่า โคตร โคตร ทรงพลังอย่างหาที่สุดไม่ได้ ทุกคำ ทุกประโยค ล้วนสะกดจิต เติมพลัง สร้างความเข้าใจระหว่างนักสู้ในแต่ละรุ่นได้อย่างลึกซึ้งกินใจ

แม้จะเป็นเรื่องเปราะบางสำหรับนักสู้รุ่นเก่าหลายคน ที่ออกมาเห็นด้วยสนับสนุนกับแนวทางการต่อสู้ของเยาวชนคนรุ่นลูก แต่ พี่เต้น สามารถใช้วาทศิลป์สร้างท่าทีที่เป็นบวกกับทุกฝ่ายได้อย่างดีเยี่ยม

โดยเฉพาะการอธิบายความหมายของคำว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา” เป็นคำอธิบายที่หนักแน่น ชัดเจนอย่างที่ไม่มีใครเคยพูดชัดได้ขนาดนี้มาก่อน

ถึงตอนนี้ยิ่งทำให้ผมเชื่อมั่นมากขึ้นว่า คงไม่มีคนรุ่นเราคนใดที่จะปล่อยให้ลูกหลานของเรา ต้องตายไปต่อหน้าต่อตา ได้อีกแล้ว”

ภาพ นัสเซอร์ ยีหมะ จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เกี่ยวกับการแถลงลงถนนในวันที่ 4 เม.ย.ของนายจตุพร วันนี้เช่นกัน นายนัสเซอร์ ยีหมะ อดีตแกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

“อัตวิสัย ภาววิสัย..

มีคนถามมาเยอะว่า ผมจะไปร่วมเวทีสามัคคีประชาชนวันที่ 4 เมษายน 64 นี้ ที่อนุสรณ์พฤษภาประชาธรรมตรงสวนสันติพร ตรงข้ามโรงแรมรัตนโกสินทร์หรือไม่ ???

ต้องออกตัวก่อนนะครับว่า หากจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ ของผมในขณะนี้ การปรึกษาพูดคุยกันเป็นเรื่องสำคัญเพราะว่า สถานการณ์สลับซับซ้อนไม่อยากให้ใครมาเข้าใจผิดหรือบิดเบือนประเด็นจนทำให้เกิดความสับสนเสียหาย

แต่เท่าที่ติดตามเวทีนี้ ยอมรับว่า มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจครับ เช่น

1. การประกาศข้ามสี ซึ่งต้องถือว่า เป็นครั้งแรกตั้งแต่มีความขัดแย้งเรื่องสี แล้วก็มีคนประกาศเคลื่อนไหวในลักษณะที่ “ก้าวข้ามความขัดแย้งหรือก้าวข้ามสี”

2. การชุมนุมครั้งนี้ที่ประกาศบอกว่า จะไม่แตะต้องพาดพิงสถาบันเบื้องสูง อันนี้ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามเคลื่อนไหว แล้วก็ไปพาดพิงโจมตีสถาบัน ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และถือว่ามิบังควรอย่างยิ่ง

3. หากพิจารณาคนที่จะขึ้นเวทีเท่าที่สืบสภาพและรับรู้มา ยอมรับว่า มีความหลากหลายน่าสนใจ แต่ก็ต้องคอยดูว่าแต่ละคนจะพูดเรื่องอะไร เพราะไม่ทราบรายละเอียด แต่ดูเหมือนสื่อมวลชน จะไปโฟกัสแค่คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เท่านั้น อันนี้น่าจะไม่จริง เพราะการนัดหมายครั้งนี้ไม่มีแกนนำ ไม่มีผู้นำเดี่ยว แต่เป็นลักษณะเปิดกว้างกับทุกคนจะเกิดอะไรขึ้นหรือจะไปไกลขนาดไหนก็ต้องรอดูในวันที่ 4 เมษายน 64 นี้

ส่วนตัวผม ยังไม่ได้กำหนดจุดยืนต่อกรณีนี้ หรือความตั้งใจจะเข้าร่วมหรือไม่ร่วมอะไรแต่ประการใด แต่สำหรับรัฐบาลในขณะนี้ก็ต้องยอมรับว่า การถูกประเมินจากแนวร่วม จากพวกเดียวกันเอง หรือคนที่เคยเชียร์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องรับฟังและเงี่ยหูฟัง หลังจากนี้บรรดาเสียงจากทั่วสารทิศ คงส่งเสียงดังมากขึ้น...

ภาพ เสกสกล อัตถาวงศ์ จากแฟ้ม
ด้าน นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เตรียมเคลื่อนไหวชุมนุมในวันที่ 4 เม.ย.ว่า

ที่จริงมีการพูดคุยกันมาตลอดถึงการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่ง นายจตุพร เคยพูดตอนออกจากเรือนจำว่าถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลืออะไร อยู่ในคุกเหมือนการอยู่ในนรกของคนเป็น ตนจึงต่อสายให้ได้คุยกับผู้ใหญ่ให้ทราบถึงความเดือดร้อนและการสนับสนุนช่วยเหลือ

และที่ผ่านมา เตือนตลอดว่า หมดเวลาเป็นแกนนำเสื้อแดง เพราะในที่สุดเราก็ถูกทอดทิ้ง และการกลับมาประกาศชุมนุม ต้องถามว่า ที่ผ่านมาสู้เพื่อใคร สู้เพื่อตัวเองหรือสู้เพื่อใคร สู้เพื่อตัวเองเพื่อจะได้มีตำแหน่งเป็น ส.ส.เป็นรัฐมนตรี และสู้แล้วรวย

“ที่เคยบอกว่า นปช.มีจุดยืนอยู่ตรงกลางเพื่อประชาชน แต่สุดท้ายก็สู้เพื่อตัวเองให้คนนามสกุลชินวิตรกลับมามีอำนาจ ไม่ได้สู้เพื่อประชาชน คือ สิ่งที่สะท้อนให้เสื้อแดงได้รับรู้ว่า ใครที่หลอกลวงพาประชาชนไปตาย ไม่ได้เป็นการปกป้องประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และคนที่เคยออกมาเคลื่อนไหว บอกว่าเพื่อประชาธิปไตย มีใครออกมารับผิดชอบหรือไม่

ผมจึงต้องเอาความจริงมาแฉให้หมด และจะแฉต่อไป หากนายจตุพร รวมถึง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ประกาศยืนข้างนักศึกษา ม็อบคณะราษฎร หรือนักศึกษาแนวร่วมธรรมศาสตร์ ซึ่งจิตใจของคนพวกนี้ไม่มีสำนักในความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ประเทศชาติ และประชาชน ออกมาเคลื่อนไหว”

นายเสกสกล กล่าวว่า ที่นายจตุพร กล่าวว่า อย่ามาบอกว่า ออกมาจากเรือนจำ จะจงรักภักดีและปกป้องสถาบัน แต่พอถึงเวลาอาจถูกใครชักจูงหรือให้งบประมาณ ซึ่งตนก็ไม่ทราบ แต่เมื่อจงรักภักดีต่อสถาบันจะมาเคลื่อนไหวโดยอ้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ว่าไม่มีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างนี้ไม่ได้ เพราะ พล.อ.ประยุทย์ ไม่เคยสั่งการอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ แต่การมากล่าวหาว่าเป็นตัวขัดขวางกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นข้อเท็จจริง

ถามว่า ถ้านายจตุพรและนายณัฐวุฒิ ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จะให้ใครขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ขึ้นมาหรือ ทั้งที่คนเหล่านี้โดนมาตรา 112 และต้องการที่จะก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบัน อย่างไรก็ตาม ถ้ายังไม่หยุดเคลื่อนไหวตนจะออกมาแฉพฤติกรรมของทั้งคู่เป็นระยะ

แน่นอน, สิ่งที่เห็นด้วยอย่างยิ่งก็คือ การเคลื่อนไหวทางการเมืองเวลานี้ สลับซับซ้อนอย่างมาก

ลองไล่เรียงดูก็จะเห็นความจริงข้อนี้ นับแต่ ขณะที่ม็อบ 3 นิ้ว ของคณะราษฎร 2563 แผ่วลง มวลชนบางตา แกนนำหลักส่วนใหญ่ถูกฟ้องดำเนินคดี หลายคนไม่ได้ประกันตัว จนถึงวันนี้ก็ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ

ทำให้มีการเคลื่อนไหวที่สอดรับกันของกองหนุน ผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหลาย แสดงบทบาทของตัวเอง เพื่อช่วยเหลือให้ได้ประกัน ต่อให้บิดเบือนข้อกฎหมาย อ้างข้างๆ คูๆ ทุกวิธีก็ยอม โดยแทบไม่สนใจดุลพินิจของศาลแม้แต่น้อย หนักเข้าถึงขั้นพากันเคลื่อนไหวกดดันต่างๆนาๆ ดังที่เห็นและเป็นอยู่ นี่คือ สถานการณ์ของ ฝ่ายม็อบปฏิรูปสถาบัน

ต่อมาไม่นาน นายทักษิณ ชินวัตร ก็ออก Clubhouse (คลับเฮาส์) ถี่ขึ้น แถมมีการฟื้นผลงานตัวเอง สมัยเป็นรัฐบาลพรรคไทยรักไทย มาเป็นจุดขาย ข่มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จนมีคนจับสังเกตได้ว่า เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อจะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง หลังมีการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ หรือไม่

จากนั้น “คณะก้าวหน้า” นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็ประกาศเดินหน้าล่าชื่อประชาชน เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระดับอภิมหาโครงการทีเดียว ในวันที่ 6 เมษายน โดยเฟซบุ๊ก คณะก้าวหน้า ระบุ ที่ต้องการแก้ไข 4 ข้อ คือ

“ล้ม วุฒิสภา - เดินหน้าสภาเดี่ยว
โละ ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ - ปฏิรูปที่มา อำนาจ การตรวจสอบ
เลิก ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูป - ปลดโซ่ตรวนอนาคตประเทศ
ล้าง มรดกรัฐประหาร - หยุดวงจรอุบาทว์ขวางประชาธิปไตย”

และการเคลื่อนไหว ที่ นายจตุพร ประกาศเอาไว้ จนกลายเป็น ดรามา กับ นายณัฐวุฒิ เกลอเก่า ดังกล่าว

ทั้งหมด ลองสังเกตให้ดี มันมี 3 กลุ่มเคลื่อนไหว สอดรับกับข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ของม็อบ 3 นิ้ว พอดิบพอดี ช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ หรือว่ามีแผนการอะไรหรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น