ข่าวปนคน คนปนข่าว
** สภากาแฟเสียงแตก “ปลัดฉิ่ง” จะออกก่อนเกษียณไปตั้งพรรคใหม่ให้ลุง หรือจะรอเกษียณก่อนกันแน่
ว่ากันว่า กระแสการตั้งพรรคใหม่เพื่อเตรียมการไว้เลือกตั้งครั้งใหม่ หรือจะไว้รองรับหากการเมืองพลิกผัน รัฐบาลลุงๆ อยู่ไม่ครบเทอมอย่างไม่คาดคิด ตอนนี้กำลังคึก ไม่เว้นแม้แต่ลุงๆ พี่น้อง 3 ป. “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เองก็มีข่าวทำนองว่าจะตั้งพรรคใหม่กะเขาเหมือนกัน โดย “นอมินี” ที่ถูกหงายการ์ดออกมาเป็นตัวแทนคือ “บิ๊กข้าราชการ” ปลัดฉิ่ง “ฉัตรชัย พรหมเลิศ” ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบันนั่นเอง
ถามว่า ทำไมนอมินีของลุงๆ ต้องเป็น “บิ๊กข้าราชการ” อย่าง ปลัดฉิ่ง ทำไมลุงๆ 3 ป.ไม่ใช้บริการจากคนมีอาชีพเป็นนักการเมือง เหมือนกับพรรคอื่นๆ ที่เปิดม่านโหมโรงออกมาแล้ว ทั้งพรรคใหม่ที่เปิดตัว เปิดชื่อคณะบุคคลออกมาส่วนใหญ่ก็จะพบว่าต่างเป็น “เหล้าเก่าในขวดใหม่” เป็นคนหน้าเก่าที่ทิ้งพรรคที่เคยสังกัดเดิมออกมาทำด้วยตัวเอง หรือรวมกันเป็นกลุ่มก้อนขับเคลื่อนด้วยคนที่มีอาชีพเป็นนักการเมืองแทบทั้งสิ้น
พรรคใหม่ของลุงๆ นั้นถูกวางให้แตกต่างออกไป โดยลุงๆ ตั้งใจจะให้พรรคขับเคลื่อนด้วย “ข้าราชการ” เหตุผลมีง่ายๆ ว่าทุกวันนี้รัฐบาลลุงตู่อยู่ได้เพราะเป็น รัฐราชการ นายกฯ คิดและบริหารแบบราชการมาตลอดหลายปีที่อยู่ในอำนาจ ตั้งแต่ คสช.มาจนถึงรัฐบาลผสม
นอกจากตัวลุงๆ อยู่รับราชการมาทั้งชีวิต ธรรมดาที่ย่อมเข้าใจในข้าราชการด้วยกัน ดังจะเห็นว่าที่ปรึกษาและคนอยู่เบื้องหลังเสนอแนะโครงการต่างๆ เป็น “รัฐมนตรีเงา” คอยประกบรัฐมนตรีนักการเมืองให้นายกฯ ลุงตู่ ก็ล้วนแต่ “ข้าราชการเก่า” ทั้งอดีตอธิบดี อดีตปลัด อดีตข้าราชการผู้ใหญ่ที่เกษียณ ถูกดึงมาเป็นคณะทำงานใกล้ตัว
เรียกว่า ลุงๆ ไว้วางใจข้าราชการทำงานมากกว่าไว้ใจนักการเมืองแต่ไหนแต่ไร ยิ่งเมื่อเป็น “ปลัดฉิ่ง” คนในแวดวงราชการต่างยอมรับว่าเป็นคนเก่งหาตัวจับยาก สนองนโยบายรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ขณะที่ “ลุงป๊อก” มท.1 ไว้วางใจสนับสนุน งานมวลชน งานการเมืองท้องถิ่น มองตารู้ใจ อย่างนี้เอามาสร้างสะพานใหม่ ทอดให้ ลุงๆ “พี่น้อง 3 ป.” เมื่อไหร่ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง คุมข้าราชการได้ก็เท่ากับชนะกลไกการเลือกตั้ง ไม่ต้องใช้เงินทุ่มงบมากแต่ได้ฐานเสียง เสียงมวลชนที่มหาดไทยกับท้องถิ่นดูแลอยู่แล้ว สบายๆ
อีกด้านหนึ่ง เมื่อปรากฏชื่อของบิ๊กข้าราชการ “ปลัดฉิ่ง” จะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้พรรคข้าราชการ บรรดาแวดวงข้าราชการตอนนี้ก็เลยฮือฮา กำลังวิเคราะห์กันสนุกว่า “ปลัดฉิ่ง” ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในตำแหน่งปลัดในเดือนกันยายนปี 2564 นี้ จะอยู่จนเกษียณ หรือลาออกมาลุยการเมืองในเร็ววันนี้เลยหรือไม่
ข้างฝ่ายที่เชื่อว่า ปลัดฉิ่งจะลาออก ก็ว่ากันว่าเพราะมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน จากบางกระแสที่ว่า ลุงๆ ชักใจคอไม่ดี กับคดียุบพรรคพลังประชารัฐ หรือการเมืองนอกสภาจะร้อนไฟลามบีบให้ยุบสภาในเดือนเมษาอาถรรพ์ การเมืองหากไม่คิดมองทางหนีทีไล่ไว้ ก็อาจจะไม่ทันการณ์
แต่ข้างฝ่ายที่มองไม่เหมือนกัน ก็ว่าฝ่ายนั้นคาดการณ์กันบนพื้นฐานของการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งแน่นอนก็ไม่ผิด แต่ในความเป็นจริงวันนี้ในวงในของลุงๆ เชื่อว่า รัฐนาวาลุงตู่ดูยังไงก็ยังไม่มีเหตุที่จะสะทกสะท้าน หวั่นไหวโคลงเคลง กลับปักหลักแล่นกินลมชิลๆ ทั้งเกมแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งเกมม็อบ 3 นิ้ว ที่เกิดเป็นแนวร่วมมุมกลับ กลายเป็นม็อบที่สู้เพื่อลุงให้อยู่ยาวๆ มากกว่าจะทำให้คว่ำคะมำ
ดังนั้น สำหรับ “ปลัดฉิ่ง” ให้ช่วยอยู่ในตำแหน่งไปพลางๆ ยังถือว่า “เอาอยู่” ดีกว่ารีบร้อนบุ่มบ่าม รอกระทั่งเกษียณซึ่งนับจากนี้ไปจนถึงกันยาฯ เวลาไม่ถือว่านานนัก ค่อยออกมาฟูลไทม์ก็ไม่สาย!
ฝ่ายนี้ถึงกับกล้าวางเดิมพัน ฟันธงกันลงไปเลยว่า รับประกัน “ปลัดฉิ่ง” อยู่ทำงานข้าราชการไปจนเกษียณชัวร์!
** กระแสโซเชียลฯ ตีกลับหันมา “Save รศ.อัศวิณีย์” คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ ผู้เก็บงานศิลปะ “ธงชาติ” ของนักศึกษาสามนิ้ว แม้แต่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังต้องออกแถลงการณ์ว่าทำถูกต้องแล้ว
ร้อนแรงต่อเนื่อง กรณีที่มีการโพสต์คลิปวิดีโอคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่เข้าไปเก็บงานศิลปะของนักศึกษาที่บริเวณหน้าลานหอศิลป์ ใส่ถุงดำเตรียมขนไปไว้ที่อื่น แต่ถูกนักศึกษาขัดขวาง กระทั่ง ดร.ทัศนัย เศรษฐเสรีอาจารย์สาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ ออกมาปกป้องศิษย์ ขณะเดียวกันก็ “จัดหนัก” ใส่คณะที่มาเก็บงานของนักศึกษา จนได้รับเสียงชื่นชมล้นหลาม แบบว่า ดร.ทัศนัย ดู “หล่อมาก” ขึ้นมาทันที
แต่เมื่อชาวโซเชียลฯ ขุดคุ้ยตีแผ่ เฉลย “ความจริง” อีกด้านหนึ่งว่า “งานศิลปะ” ที่ว่านั้นคือ ธงชาติไทยที่ถูกลบแถบสีน้ำเงิน ซึ่งหมายถึงพระมหากษัตริย์ออกไป แล้วมีการเขียนข้อความต่อต้านทางการเมือง ยกเลิกมาตรา 112 ปล่อยเพื่อนเรา ...มีกระทั่ง “Free Pornhub” บนผืนธงชาติดังกล่าว ซึ่งธงชาติที่นักศึกษาบอกว่าเป็นงานศิลปะผืนนี้มีที่มาจากการจัดกิจกรรมทางการเมืองภายใต้ชื่อ “ยุทธการไล่ประยุทธ์” ของกลุ่มนักศึกษา “พรรควิฬาร์” มช. เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งในวันนั้น “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ขึ้นปราศรัยเปิดหัวเป็นคนแรก โดย “ทราย เจริญปุระ” แม่ยกสามนิ้ว ก็ไปปรากฏตัวในงานด้วย
ขณะเดียวกัน มีคนเข้าไปส่องเฟซบุ๊ก ดร.ทัศนัย เศรษฐเสรี ก็ปรากฏว่ามีการโพสต์ข้อความที่แสดงจุดยืนทางการเมืองชัดเจนว่าฝักใฝ่ใน “ม็อบสามนิ้ว”
...เท่านั้นเอง ก็เกิดกระแสตีกลับ ชาวโซเชียลฯ หันมาให้กำลังใจติดแฮชแท็ก Save คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ ...รวมทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ออกแถลงการณ์ระบุว่า สิ่งที่ผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ได้ดำเนินการไปนั้น เป็นการทำตามอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบในการกำกับดูแลสถานที่ และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย อีกทั้งเป็นการปกป้องชื่อเสียงของนักศึกษา บุคลากร และมหาวิทยาลัยโดยรวม เป็นการกระทำโดยชอบแล้ว!!
คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มช.คนนั้นคือ “รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง (นิรันต์)”
“รศ.อัศวิณีย์” เป็นบุตรสาวของ “พิชัย นิรันต์” ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ...เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยศิลปากร และเพิ่งได้รับคัดเลือกยกย่องให้เป็นนักศึกษาเก่าดีเด่น ประเภทผู้ส่งเสริมการศึกษา เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา
ในวัยเด็กศึกษาที่โรงเรียนราชินี จากนั้นมาต่อวิทยาลัยช่างศิลป์ ได้ศิลปบัณฑิต (ศิลปไทย) คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ม.ศิลปากร ศิลปมหาบัณฑิต (ศิลปไทย) บัณฑิตวิทยาลัย ม.ศิลปากร
ด้วยความที่เป็น “ครอบครัวศิลปิน” ได้รับการปลูกฝังในการสรรสร้างผลงานด้านศิลปะมาตั้งแต่เล็ก เกียรติประวัติในด้านนี้ของ “รศ.อัศวิณีย์” จึงได้รับการบันทึกมาตั้งแต่ ปี 2522 ที่ได้ รางวัลที่ 1 การประกวดศิลปะเด็กแห่งชาติ ครั้งที่ 1 หอศิลป์แห่งชาติ กรุงเทพฯ จากนั้นก็กวาดรางวัลในระดับรางวัลดีเด่น รางวัลยอดเยี่ยม เหรียญทอง ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ รวมทั้งรางวัลที่ 1 เหรียญทอง จิตรกรรมไทยแบบประเพณี จิตรกรรมบัวหลวง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เมื่อปี 2539 และปี 2540 คือได้ 2 ปีซ้อน
ในหน้าที่การงาน ฐานะ “อาจารย์” ด้านศิลปะนั้น เป็นอาจารย์พิเศษคณะมัณฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตั้งแต่ปี 2535 จากนั้น ปี 2542 มาเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ กระทั่งเป็นอาจารย์ระดับ 8 ภาควิชาศิลปะไทย ผู้มีความเชี่ยวชาญการเขียนภาพจิตรกรรมไทยประเพณี เทคนิคโบราณ และเป็นคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า “รศ.อัศวิณีย์” ที่คลุกคลีอยู่กับงานศิลปะมาทั้งชีวิต ย่อมมีความรัก มีวุฒิภาวะ มีวิจารณญาณ ในการที่จะตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะที่ควร ที่ถูกต้อง ที่เรียกได้ว่าคืองานศิลปะ
** เปิดประวัติ “เกษม จันทร์แก้ว” องคมนตรีคนล่าสุด อดีตที่ปรึกษา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้ง “นายเกษม จันทร์แก้ว” เป็นองคมนตรี ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป
นายเกษม จันทร์แก้ว นับเป็นองคมนตรี ลำดับที่ 17 ในรัชกาลปัจจุบัน เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2481 ที่ ต.ศรีสัชนาลัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย บิดาชื่อนายนาค จันทร์แก้ว และมารดาชื่อนางบุญมา จันทร์แก้ว
การศึกษา จบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนประชาบาลวัดตลิ่งชัน ชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริยาราม ชั้นเตรียมอุดมศึกษาจากโรงเรียนทวีธาภิเศก สำเร็จปริญญาตรีวนศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม) จาก ม.เกษตรศาสตร์ ปริญญาโทสาขา Watershed Management จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด และปริญญาเอกในสาขา Forest Hydrology จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันใน พ.ศ. 2518
ด้านการทำงาน นายเกษมเริ่มเข้ารับราชการตำแหน่งอาจารย์โท ในคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และเป็นอาจารย์ที่ ม.เกษตรศาสตร์ จนเกษียณอายุราชการ รวมเวลาใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถึง 43 ปี เคยเป็น ผอ.โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.แหลมผักเบี้ย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เคยเป็นคณบดีวิทยาลัยสิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิประจำคณะสิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์
นอกจากนี้ ยังเป็นอาจารย์พิเศษทั้งใน ม.เกษตรศาสตร์และภายนอก เป็นผู้ทรงคุณวุฒิหลายมหาวิทยาลัย และนายกสภา ม.ราชภัฏอุตรดิตถ์ ม.ราชภัฏกำแพงเพชร และ ม.ราชภัฏสุรินทร์
ผลงานที่สำคัญ คือ งานวิจัยการจัดการลุ่มน้ำและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์การเกษตรดีเด่นสองสมัย (พ.ศ. 2536 และ พ.ศ. 2539) จากสมาคมวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศไทย
“นายเกษม” มีความผูกพันกับ ม.เกษตรศาสตร์อย่างมาก เขาเคยเล่าว่า เป็นชาวเกษตรด้วยหัวใจและร่างกายเต็มร้อย เป็นอาจารย์สอนที่ ม.เกษตรศาสตร์ ไม่เคยแบ่งปันใจให้ไปที่อื่น ใครจะขอตัวไปช่วยหน่วยงานอื่นก็ไปช่วย แต่ต้องเป็นในนามอาจารย์ของ ม.เกษตรศาสตร์เท่านั้น
ความภาคภูมิใจในชีวิตการทำงานให้ ม.เกษตรศาสตร์ คือ การเป็นหัวหน้าภาควิชาอนุรักษ์วิทยา คณะวนศาสตร์ ถึง 16 ปี ได้สร้างลุ่มน้ำและสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเป็นตน เป็นปึกแผ่น จนเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก
ความภาคภูมิใจอันดับต่อมาก็คือ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรักษาการคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ ขณะเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และที่มหัศจรรย์ก็คือ ได้เป็นผู้สนับสนุนให้มีการแยกคณะได้สำเร็จ เป็น 2 คณะ คือ คณะเศรษฐศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจ และเป็นผู้ผลักดันให้เกิดโครงการ Ex MBA ของเกษตรที่มีชื่อเสียงโด่งดังอันดับหนึ่งของประเทศในปัจจุบัน
“นายเกษม” ยังเคยเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ในช่วงสั้นๆ เป็นเวลา 42 วัน สมัย “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” เป็นรมว.เกษตรและสหกรณ์ และเคยเป็นที่ปรึกษา “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี