เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นเรื่องน่าจับตามองกันอีกรอบ สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดภายในพรรคก้าวไกล หลังจากมี ส.ส.ของพรรคจำนวนหนึ่ง ประกาศตัวชัดเจนว่า “สวนมติพรรค” ไม่ยอมลงชื่อในร่างญัตติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลเตรียมยื่นญัตติขอแก้ไขต่อสภาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยอ้างว่าเป็นเครื่องมือในการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายอำนาจรัฐในการจัดการ และใช้กฎหมายดังกล่าวกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวในการขอ “แก้ไขมาตรา 112” ดังกล่าว ย่อมมีที่มาที่ไป และเป็นเป้าหมายของใคร และมีคนพวกไหนที่พยายามผลักดัน รวมไปถึงคำถามที่ว่า “เป้าหมายที่แท้จริง” ของคนที่ “ชักใย” อยู่ข้างหลังนั้นคืออะไรกันแน่
สำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขมาตรา 112 นั้น หลายคนมองออกว่า เป็นความพยายามในการพังทลายกำแพงป้องกัน “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน และมีที่มาที่ไป ความผูกพันที่แตกต่างจากระบบกษัตริย์ในแถบตะวันตก หรือประเทศอื่นใด
ขณะเดียวกัน ความพยายามในการแก้ไขมาตรา 112 ดังกล่าว ก็เพื่อต้องการให้ตัวเองและพวกตัวเองไม่ต้องรับโทษกับการกระทำผิดที่เกิดขึ้นจากการจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ ที่เป็นองค์พระประมุขของชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์โดยรวมอีกด้วย
การเคลื่อนไหวที่ถือว่ามีความเข้มข้น สำหรับเจตนาที่ถูกมองว่า ต้องการ “ล้มล้างสถาบันฯ” มีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในปีที่แล้ว มีการปั่นกระแสทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงในรูปแบบของสื่อหลากหลายในเครือข่ายเดียวกัน ขณะที่ภายในประเทศก็เป็นการเคลื่อนไหวที่สอดประสานกันทั้งในและนอกสภา
ในสภาที่เห็นเป็นรูปร่างชัดเจนก็เริ่มมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ที่มีระดับแกนนำพรรคและนายทุนพรรค ที่เชื่อว่า คนส่วนใหญ่รับรู้กันดีว่าคนพวกนี้มี “ทัศนคติที่เป็นลบ” กับสถาบันพระมหากษัตริย์มานานหลายปีแล้ว ก่อนที่จะมีพรรคดังกล่าวเกิดขึ้นมาด้วยซ้ำไป จนกระทั่งพรรคถูกยุบ เพราะกระทำผิดกฎหมาย และมาจนถึงพรรคก้าวไกล ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวที่เรียกว่า “ปฏิรูปสถาบันฯ” แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเรียกร้องที่ผ่านทางการชุมนุมของม็อบที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” ก็เข้าใจได้ว่า มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อ “ล้มล้าง” แต่ขณะเดียวกัน ยิ่งมีการเคลื่อนไหวนานวัน กลับถดถอยเข้าสู่ภาวะ “ขาลง” ติดลบอย่างชัดเจน และรวดเร็ว ถูกกระแสสังคมต่อต้าน และเคยมีการสั่งสอนผ่านทางการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ผู้สมัครของ “คณะก้าวหน้า” ที่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นแกนหลัก ไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาแม้แต่คนเดียว เรียกว่า แพ้แบบไม่มีลุ้นเลย ในทุกจังหวัด
ขณะที่พวกแกนนำสามนิ้ว ก็กำลังเข้าสู่ภาวะเดินสายรับข้อหาถูกดำเนินคดีสารพัดความผิด โดยเฉพาะบรรดาแกนนำหลัก 4-5 คน ต่างสะสมคดียาวเป็นหางว่าว บางคน เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” มีคดีติดตัวแบบ “เบิ้มๆ” กว่าร้อยคดี รวมทั้งคดีความผิดเกี่ยวกับการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ตามมาตรา 112 กว่าสิบคดี ต้องเดินสายพบกับพนักงานสอบสวนแทบจะรายวัน ซึ่งหลายคนทำนายได้ล่วงหน้าอย่างมั่นใจเลยว่าอนาคตเสี่ยงกับการติดคุกสูงมากๆ
เมื่อวกกลับมาที่พรรคก้าวไกลที่เวลานี้กำลังมีการเคลื่อนไหวลงชื่อขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ได้เห็นรายละเอียด หรือเนื้อหาของร่างแก้ไขดังกล่าว แต่หากพิจารณาจากท่าทีของคนที่ถูกมองว่า เป็น “เจ้าของพรรค” อย่างเช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมไปถึงคนที่มีบทบาทร่วมกันมาอย่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล ก็มีแนวทางชัดเจนในความพยายามให้ “ยกเลิกมาตรา 112”
แต่เมื่อเห็นแนวโน้มมันยากจนแทบเป็นไปไม่ได้ ก็อาจเปลี่ยนแนวทางแบบ “ขอเจาะช่อง” เอาไว้ก่อน เป็นการเบี่ยงเบนมาให้เห็นว่า เป็นการ “แก้ไข” ก่อน เหมือนกับข้อเรียกร้องแบบอำพราง ที่ว่าให้ “ปฏิรูปสถาบันฯ” นั่นแหละ เพราะเมื่อพิจารณาเนื้อหาประกอบจำนวน 10 ข้อ ก่อนหน้านี้ ความหมายที่ซ่อนอยู่ ก็คือ เจตนา “ล้มล้าง” นั่นเอง
และเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศข้างนอกรอบตัวเวลานี้ ถือว่า “ขาลง” แบบฮวบฮาบกันทั้งขบวนการ โดยเฉพาะหากโฟกัสเฉพาะพรรคก้าวไกล ที่มี ส.ส.หลายคนกำลังถูกตั้งคำถาม แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ก็คือ “การขอเครื่องราชฯ” ทั้งที่มีการเคลื่อนไหวคู่ขนานเชื่อมโยงเป็นแนวร่วมกับ “ขบวนการล้มเจ้า” มาตลอด ก็ย่อมถูกเย้ยหยันจนไปไม่เป็นในเวลานี้
และก็อย่าได้แปลกใจที่เมื่อกำลังจะมีการยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ท่ามกลางบรรยากาศขาลงแบบนี้ มันก็เริ่มเห็น ส.ส.บางคน “เริ่มชิ่ง” เพราะเห็นแววหายนะ ไม่อยากถูกจมไปพร้อมกับพรรคในวันหน้า อย่างน้อยก็ได้เห็น ส.ส.ของพรรคก้าวไกล อย่างน้อยสองคน ก็คือ นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี และ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ประกาศว่า จะไม่ร่วมลงชื่อในญัตติดังกล่าว และพร้อมรับการลงโทษ และเชื่อว่า น่าจะมีคนอื่นตามมาอีก เพราะหากใครร่วมลงชื่อ รับรองว่า หากมองจากข้างนอกแล้ว ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายทางการเมืองชัดๆ !!