เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าน่าจะเป็นข่าว “สะเทือนขวัญ” สำหรับ “ทีมสามนิ้ว” โดยเฉพาะระดับ “ซูเปอร์บิ๊ก” ทั้งหลาย เช่น “บิ๊กกวิ้น” นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ “บิ๊กรุ้ง” น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล “บิ๊กไมค์” นายภาณุพงศ์ จาดนอก และ “บิ๊กนนท์” นายอานนท์ นำภา เป็นต้น หลังจากได้เห็นคำพิพากษาของศาลอาญา ให้จำคุกนางอัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการ ซี 8 กรมสรรพากร ในความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นเวลา 87 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษกึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 29 ปี 174 เดือน
ก็ต้องถือว่าเป็นการลงโทษหนักทีเดียวสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงสูงอายุที่ต้องมาติดคุก แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วหลายคนยังเชื่อว่าโทษจำคุกจริงก็น่าจะได้รับการลดโทษลงมาอีกในช่วงวันมหามงคลต่างๆ ในอนาคต หากไม่มีการทำความผิดซ้ำอะไรขึ้นมาอีกในภายหลัง
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็น่าสนใจตรงที่จำเลยคนนี้เป็นถึงข้าราชการระดับ ซี 8 ถือว่าเป็นระดับสูงพอควร น่าจะรู้ผิดชอบชั่วดี มิหนำซ้ำตามอาชีพก็ระบุชัดอยู่แล้วว่าเป็น “ข้าราชการ” ย่อมมีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรจะสำนึกความผิดหรือไม่ ศาลก็มีการพิพากษาจำคุกตามพยานหลักฐานไปแล้ว ก็ถือว่าจบคดีกันไป
กระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ถือว่ามีอัตราโทษสูง โดยเฉพาะความผิดตาม มาตรา 14 ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดังนั้น หากใครเจอข้อหาและกระทำผิดตามมาตราดังกล่าวก็ถือว่า “อ่วม” กันเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี ก็ใช่ว่าชาวบ้านทั่วไปจะเดือดร้อน และไม่ใช่ว่าจู่ๆ ใครก็ได้มีความผิดและต้องโทษจำคุกตามความผิดแบบนี้ หรือ “จับยัดคุก” หาใช่ไม่ ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป และที่สำคัญต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน และมีเจตนากระทำความผิดแบบท้าทายกฎหมายอยู่แล้ว
เมื่อวกกลับมาที่ บรรดา “แกนนำม็อบสามนิ้ว” มีชื่อดังกล่าวข้างต้น พวกเขาได้เคลื่อนไหวท้าทาย “จาบจ้วง” อยู่ตลอดเวลา การพูด การอภิปรายในพื้นที่ชุมนุมแทบทุกครั้ง ใช้คำพูดที่ “ก้าวร้าวรุนแรง” ในแบบที่ไม่เคยมีแกนนำม็อบในอดีตเคยทำมาก่อน จนหลายคนมีความรู้สึก “กลัวแทน” หรือ “ไม่กล้า” แต่พวกเขาบอกว่ามีความ “กล้าหาญ” และสามารถพูดในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าพูดมาก่อน จนถึงขั้นประกาศว่าพวกเขา “ชนะแล้ว” อะไรประมาณนั้น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณากันตามรายบุคคลแล้วก็ต้องบอกว่า “เสียวแทน” เนื่องจากแต่ละคนสะสมคดีกันไปคนละ “เกินร้อย” ขึ้นไปแล้ว โดยเฉพาะ “ซูเปอร์บิ๊กเพนกวิน” นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่จากการเปิดเผยของตำรวจก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะคดีความผิดตาม มาตรา 112 หลายสิบคดี ยังไม่นับคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อีกยาวเป็น “หางว่าว” เช่นเดียวกัน รวมไปถึงแกนนำคนอื่นๆ สามสี่คนข้างต้น แต่ละคนก็นับสิบคดีแน่นอน
เอาแค่ว่าแต่ละวันต้องเดินสายไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก เห็นแล้วก็เหนื่อยแทน เนื่องจากนี่เป็นเพียงขั้นตอนเริ่มต้นของคดีที่ยังอยู่ในชั้นของตำรวจ ยังไปไม่ค่อยถึงชั้นอัยการเท่าใดนัก และยังต้องไปขั้นตอนที่ศาลอีก โดยเฉพาะเมื่อเป็นความผิดแบบหลายกรรม หลายวาระ มันก็ยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก
แน่นอนว่าสำหรับแกนนำพวกนี้ที่สะสมคดีที่ว่ากันเฉพาะความผิดตาม มาตรา 112 แต่ละคนร่วมร้อยคดี และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เพราะพวกเขายังมีความเคลื่อนไหวในลักษณะท้าทายแบบต่อเนื่อง
ล่าสุด ขณะมีเหตุจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับรายหนึ่งที่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ไปที่สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง จ.ปทุมธานี คนพวกนี้ก็ยังมีกิจกรรมที่ “หมิ่นเหม่” ขึ้นอีก ยังไม่ต้องพูดถึงการจะถูกแจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 ที่มีการทำกิจกรรมวันนั้น โดยการชักธงชาติหน้าสถานีตำรวจคลองหลวงลงมาจากยอดเสา แล้วชักธงแดงที่เขียนเลข 112 ขึ้นไปแทน รวมไปถึงการกระทำที่เข้าข่ายความผิดเหยียดหยามดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ อีกจิปาถะ
ดังนั้น เมื่อพิจารณามาถึงตอนนี้ทำให้มองเห็นว่าบรรดาแกนนำ “ม็อบสามนิ้ว” มีความเสี่ยงที่จะติดคุกคนละหลายปีสูงมาก ขณะเดียวกัน อยากมองทะลุเข้าไปในหัวใจของพวกเขาว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นพวกเขารู้หรือไม่ว่ามันมีความผิด มีคดีติดตัวไปตลอดชีวิต หรือว่าที่ทำลงไปเป็นเพราะ “เชื่อลมปาก” ของบางคนที่บอกว่าไม่มีทางติดคุกแน่นอน เพราะมีคนช่วยเหลืออะไรประมาณนั้นหรือเปล่า รวมไปถึงความเชื่อที่ว่ากำลังจะได้รับ “ชัยชนะ” จนต้องเดินหน้าสะสมคดี มีพฤติกรรมท้าทายกฎหมายไปเรื่อยๆ
แต่สำหรับความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เมื่อได้เห็นตัวอย่างล่าสุดจากคดีของอดีตข้าราชการ ซี 8 กรมสรรพากรข้างต้น ที่ถูกจำคุกถึง 87 ปี (ลดโทษเหลือ 29 ปี) ก็ได้แต่หวาดหวั่นแทน และที่สำคัญเมื่ออายุเข้าเกณฑ์พ้นเยาวชนไปแล้ว ก็พิจารณาคดีไปตามปกติ ไม่มีลดราคาในเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษาแน่นอน!!