xs
xsm
sm
md
lg

เจ็บ! “ดร.อานนท์” เย้ย “ปฏิรูปเจ้า” รับผิดชอบมวลชนให้ได้ก่อน “บุ๊ง” แจง “รุ้ง” เทม็อบ “ไพศาล”ไล่การเมืองทราม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ การเคลื่อนไหวม็อบ 3 นิ้วในปีที่ผ่านมา ที่ชูปฏิรูปสถาบันฯอย่างชัดเจน จากแฟ้ม
“3 นิ้ว” เป๋เข้าทาง “ดร.อานนท์” เย้ย รับผิดชอบมวลชนให้ได้ก่อน ที่จะมารับผิดชอบประเทศ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ “บุ๊ง” แจงยิบเบื้องหลัง “รุ้ง” เทม็อบ “ไพศาล” ได้กลิ่น ปชช.เริ่มก่อตัวไล่การเมืองทราม “ราษฎร” ลั่น สู้เต็มรูปแบบ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(17 ม.ค.64) เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“ผมเห็นภาพและวาจาแกนนำสามสัสและแกนนำม็อบปลดแอกและคณะราษฎร (2563) ออกมาแถลงแกงเทโพ ไม่รับผิดชอบต่อมวลชน บ้างก็พูดว่า มวลชนทำเอง นัดมากันเอง ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผมได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ขนาดมวลชนร่วมต่อสู้ แกนนำเหล่านี้ยังเท เอาตัวรอด ปราศจากความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ แค่ปัดภาระให้พ้นตัว ปัดความผิดพ้นตัว ผมได้แต่ถอนใจว่าจะไปรับผิดชอบบ้านเมือง ปฏิรูปประเทศ และถึงขั้นเลยธงจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่เรียกร้องได้อย่างไร น่าจะปฏิรูปตนเองเสียก่อน

มวลชนปลดแอกก็ช่างโง่ให้คนเหล่านี้หลอกใช้สนตะพายอยู่ได้ มันอ้างว่าทุกคนเป็นแกนนำ แต่ออกมาพูดปัดความรับผิดของตัวเองทั้งหมด เช่นนี้เป็นการกระทำที่เลวร้ายใช้ไม่ได้ ผมเคยอยู่ใน war room ของการชุมนุมมาหลายการชุมนุม สิ่งที่ผมได้เห็นคือแกนนำของการชุมนุม จะห่วงและกังวลต่อความปลอดภัยของมวลชนมากที่สุด และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เกิดการบาดเจ็บล้มตาย ไม่ใช้มวลชนเป็นโล่มนุษย์

ภาพ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ จากแฟ้ม
"ผมยังจำได้ว่า วันที่เกิดรัฐประหาร ผมอยู่ใน war room มีแกนนำคนหนึ่งกล่าวสั้นๆ หลังจากรัฐประหาร และควบคุมแกนนำอีกคนหนึ่งไว้ที่สโมสรกองทัพบก โดยเมื่อทราบข่าว แกนนำคนนี้กล่าวกับนักวิชาการใน war room ว่า เราไปที่เวทีกัน ไปพามวลชนทุกคนกลับบ้านอย่างปลอดภัยที่สุดเถิด ผมจำได้ว่า ผมเดินเข้าไปในเวทีแห่งนั้น สีหน้าและแววตาของมวลชนมีความสับสน ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างน้อย พวกเขาก็อุ่นใจว่าแกนนำมวลชน ไม่ละทิ้งพวกเขา ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรจะเกิดขึ้น"

ได้โปรดรับผิดชอบมวลชนของตนที่ร่วมต่อสู้กันมาให้ได้ก่อนเถิดครับ อย่าหน้าตัวเมีย มุดกระโปรงเด็กเอาตัวรอด ชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างเดียว โดยที่ตัวเองไม่ได้รับผิดชอบหรือรับผลกระทบอันใดเลย คุณไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย เพราะคุณไม่เคยรักประชาชน และไม่เคยรักและปกป้องมวลชนของตนเอง

นี่คือการกระทำที่แสนอำมหิตของสามสัสและแกนนำปลดแอก คณะราษฎร (2563) ตัวจริง ที่นับวันผมยิ่งเห็นความทุเรศน่าอนาถใจอย่างที่สุด รับผิดชอบมวลชนให้ได้ ก่อนจะมาสาระแนรับผิดชอบประเทศชาติ ใครจะเชื่อคนโกหก หน้าตัวเมีย มุดกระโปรง หลอกใช้เด็กและมวลชนอย่างพวกคุณ”

ภาพ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” จากแฟ้ม
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 16 ม.ค.64 น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Panusaya Sithijirawattanakul ระบุว่า

ในฐานะโฆษกอย่างเป็นทางการของกลุ่ม "ราษฎร" ขอชี้แจงให้ประชาชนทุกท่านทราบว่าการประกาศรวมตัวที่สามย่านที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากกลุ่มราษฎร หรือแกนนำคนใด

จึงเรียนมาเพื่อขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังข้อมูลข่าวสาร และติดตามการประกาศและการเคลื่อนไหวของเราได้ทางเพจของแกนนำ และเพจ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม - United Front of Thammasat and Demonstration จนกว่าจะมีการประกาศเพจของราษฎรอย่างเป็นทางการเท่านั้นค่ะ

และอย่างไรก็ตาม การชุมนุมการทางเมืองโดยสงบเป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชนโดยทันที

ขณะเดียวกัน นายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ “บุ๊ง” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และท่อน้ำเลี้ยงม็อบราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

“เดือนที่แล้วที่เชียงใหม่...

1 ในหัวข้อการประชุมมันมีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การทำม็อบย่อย แล้วใช้ชื่อเดียวกับม็อบใหญ่

ความเสียหายที่เกิดขึ้นในภาคใหญ่คือ... คนมองว่าม็อบแผ่ว

ทั้งๆที่ม็อบใหญ่ที่เป็นทางการในแต่ละครั้ง เรามีตัวเลขคนเข้าร่วมยืนพื้นที่ 2-3 หมื่นคนแน่นอนในทุกไฟต์ แต่ม็อบย่อยม็อบเล็กมีคนหลักร้อยหรือหลายๆม็อบมีคนหลักสิบ น้อยมากที่จะมีคนเข้าร่วมมากกว่าหลักพันขึ้นไป

ทีนี้พอคนข้างนอกมองเข้ามา เค้าไม่รู้หรอก ว่าอันนี้ม็อบเล็กม็อบใหญ่ ม็อบแบบทางการมั้ย น้องๆหัวหอกมาครบหรือป่าว

พอคนในม็อบเล็กมาน้อย สื่อก็ออกข่าวกันระรัวว่า ม็อบแผ่ว ม็อบหมดกระแส บลาๆ กลายเป็นว่าในภาพรวมขบวนการเราดูแย่ไปอีก

ปัญหานี้เราก็ยกขึ้นมาคุยกันในที่ประชุม

ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า... ไม่ควรทำ

ถ้าหากใครจะทำ ให้แจ้งกับคณะกรรมการกลาง ถ้ากรรมการเห็นด้วยก็จะส่งแกนนำหลักให้ไปเข้าร่วม จะมีทีมงานในด้านต่างๆเข้าไปสนับสนุน เพื่อตัดปัญหาไปทำม็อบกันเองแล้วก็เกิดปัญหา

แต่เรายังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการออกไป เพราะตอนนี้น้องๆหลายๆส่วนต่างแยกย้ายไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายหลังจบการประชุม และเราก็ไม่คิดว่าในช่วงโควิดระบาด จะมีใครทำม็อบในช่วงนี้ ก็กะว่ารอน้องๆจบภารกิจกันก่อน แล้วช่วงสบายๆจะประกาศในหลายๆเรื่องให้ได้ทราบกัน

ภาพ นายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ “บุ๊ง” จากแฟ้ม
แต่วันนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้...

เรื่องวันนี้มันมีอะไรๆมากเหลือเกิน มันไม่ใช่แค่เท่าที่ทุกคนเห็น ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจในกติกานะครับ อย่าทำอะไรกันเอง เพราะเมื่อมันเกิดเรื่องขึ้นมา มันจะมีคนเจ็บมากเจ็บน้อยแน่นอน

เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ช่วยกันพายไปให้ถึงครับ

ไม่ใช่ช่วยกันขึ้น ขึ้นมากันเยอะๆ แต่หาคนช่วยพายแทบไม่มี”

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“การชุมนุมของกาเหว่าที่มีเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นระเบิด นี้เป็นครั้งแรก เปิดศักราชปี 2564 กาเหว่าคงช่วยนักการเมืองต่อไปเหมือนปีก่อน คือ ด่าเจ้า แต่ไม่ไล่การเมืองทราม ในขณะที่ประชาชนผู้เดือดร้อนทุกข์เข็ญ กำลังก่อตัว เพื่อไล่นักการเมือง กระแสน้ำทุกสายกำลังเชี่ยว คือไล่นักการเมืองทราม แต่ภักดีเจ้า!!!!”

และโพสต์ข้อความต่อเนื่องว่า “ชัดขึ้น!!! พวกหัวรุนแรง ที่ปาระเบิดใส่ตำรวจเมื่อคืนวาน ในการชุมนุมของกาเหว่าที่สามย่านนั้น ว่าเป็นการใช้ระเบิดแบบปิงปอง และอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่เคยฝึกซ้อมอาวุธที่สนามหลวง เมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง! เป็นการก่อความรุนแรงที่ท้าทายการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ไม่ควรมองข้าม นับแต่นี้ไปพี่น้องตำรวจและเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และควรจะรักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด!!!”

“ผู้ที่เกี่ยวข้องในการให้ประกันตัวผู้กระทำความผิด ควรจะทบทวนและพิจารณาด้วยความรับผิดชอบว่า การพิจารณาให้ประกันตัวถ้าหากออกมาก่อความผิดซ้ำซากมีแต่จะเป็นอันตรายและเสียหายต่อบ้านเมืองมากขึ้น ควรจะรีบทบทวนและกำหนดมาตรการที่มีผลในการป้องกันอันตรายให้กับบ้านเมืองด้วย”

ด้าน เพจ “ราษฎร” เผยแพร่ข้อความประกาศ ว่า

“ราษฎรทั้งหลาย พึงรู้ไว้เถิดว่า การเคลื่อนไหวไม่ได้แผ่ว ไม่ได้หายไปอย่างที่เขาหลอกลวง ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดครั้งใหม่ของโควิด 19 ทำให้การต่อสู้บนท้องถนนยังไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ แต่ราษฎรไม่อาจอยู่เฉยได้ในสถานการณ์ที่ประชาชนยังถูกคุกคาม”

“ประยุทธ์ จันทร์โอชาและพวกยังไม่ยอมลาออก รัฐธรรมนูญยังไม่ได้มาจากประชาชน การเคลื่อนไหวของเราจะยังคงดำเนินต่อไป เตรียมตัวพบกับการเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ”

แน่นอน, ประเด็นที่น่าจับตามองก็คือ การเคลื่อนไหวครั้งใหม่ ของม็อบคณะราษฎร 2563 ในปีนี้(2564) จะเข้มข้น ร้อนแรงเหมือนปีที่ผ่านมาหรือไม่ หรือว่า หลายปัจจัยจะทำให้ม็อบราษฎร 2563 แผ่วลง อย่างที่มีการวิเคราะห์กัน

หลายปัจจัยที่ว่า กูรูบางคนวิเคราะห์นับแต่การเมืองในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพี่ใหญ่แห่งเสรีประชาธิปไตย กำลังเจอกับเสรีภาพที่เอ่อล้นจนเอาไม่อยู่หรือไม่ กรณีบางฝ่ายไม่ยอมแพ้ บุกยึดสภา เลียนแบบการเมืองไทย?

ปัจจัยต่อมา คือ ผลการเลือกตั้ง นายก อบจ.ของฝ่ายที่มีความใกล้ชิดกับม็อบราษฎร 2563 และสนับสนุนการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แข็งขัน ไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่เก้าอี้เดียว ทั้งที่เป็นฝ่ายที่สร้างกระแสได้มากที่สุด และหาเสียงตรงเป้าที่สุด นั่นหมายถึงประชาชนไม่เล่นด้วยใช่หรือไม่ เรื่องนี้อาจทำให้มวลชนจำนวนหนึ่งเริ่มคิดทบทวนตัวเอง

ปัจจัยสำคัญอีกอย่าง คือ ปัญหาภายในขบวนการม็อบเอง ที่ดูเหมือนบางเรื่องยังอ่อนหัด ไร้เดียงสา โดยเฉพาะการดูแลบริหารจัดการมวลชน รวมทั้งความขัดแย้งในบรรดาแกนนำ ปัญหาผลประโยชน์ ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมา เริ่มมีข่าวออกมาให้เห็นแล้ว รวมถึงล่าสุดที่มีปัญหาการชิงก่อม็อบ ซึ่งถูกแกนนำหลัก เทว่าไม่ใช่ม็อบของพวกตน ก็ยิ่งเห็นได้ชัดขึ้น ว่าปัญหาได้เริ่มขึ้นแล้ว

เหล่านี้ ต่อให้เพจประชาสัมพันธ์ของม็อบ จะออกมาประกาศกร้าวถึงการต่อสู้ที่จะยกระดับขึ้นเต็มรูปแบบ แต่ทว่า ปัจจัยทั้งหลายที่กล่าวมาแล้ว ย่อมสะท้อนถึงความเป็นจริงได้ดีว่า สถานการณ์ม็อบในอนาคตจะเป็นอย่างไร

และยิ่งถ้าก่อความรำคาญอย่างไร้เหตุผล ซ้ำเติมการทำมาหากินของประชาชน ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากวิกฤตโควิด -19 นี่ยังไม่นับการเคลื่อนไหวที่ทำร้ายจิตใจของผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูง ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ทั้งสองฝ่ายจะต้องเตรียมรับมือให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง ที่เริ่มได้กลิ่นคาวเลือดบ้างแล้ว!


กำลังโหลดความคิดเห็น