เมืองไทย 360 องศา
ปี 2563 ที่กำลังจะผ่านไป ถือว่าหนักหนาสาหัสกว่าที่คิด เนื่องจากต้องเจอกับโรคระบาดใหม่ที่ชื่อ “โควิด-19” จนสร้างความปั่นป่วนไปทั้งโลก เมื่อทุกประเทศย่ำแย่ มันก็ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทยทันที เพราะระบบเศรษฐกิจของเราพึ่งพาตลาดส่งออก และการท่องเที่ยวจากต่างชาติเป็นหลัก เมื่อเจอเข้ามาแบบจังๆ และรวดเร็วทำให้บอบช้ำหนัก
แม้ว่าหากเทียบกับหลายประเทศที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนน้อยกว่าหลายเท่า แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราละเลย “การ์ดตก” เราก็เสร็จมันทันที เหมือนกับที่กำลังระบาดรอบใหม่ก็มาจากปัญหาแบบนี้แหละ ที่นอกจากประมาทแล้ว ยังพ่วงเอาเรื่อง “ทุจริต” ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าไปด้วย ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เลวร้ายลงไปมากกว่านี้ก็แล้วกัน
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาในมุมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็ถือว่าน่าสนใจไม่ต่างกัน แม้ว่าจะมีหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะที่เชื่อมโยงถึงกัน ทั้งพวกพรรคร่วมฝ่ายค้าน และกลุ่มม็อบ ซึ่งในที่นี้ก็ต้องโฟกัสไปที่กลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” เป็นหลัก
หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวที่เริ่มเข้มข้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปีเป็นต้นมา แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่ามีพลังผลักดันจนสามารถจนเกิดแรงเหวี่ยงทำให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ในขั้นตอนแรก เพราะสามารถทำให้กดดันให้ทุกพรรคโหวตหนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้มี ส.ส.ร. เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกหลายมาตรา แม้ว่าเส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล แต่อย่างน้อยก็สามารถเปิดประตูบานแรกได้สำเร็จแล้ว
อย่างไรก็ดี หากแยกออกมาโฟกัสเฉพาะ “กลุ่มม็อบสามนิ้ว” ก็ต้องยอมรับว่า สามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าการถือกำเนิดขึ้นมาไม่ใช่เป็นลักษณะที่ใช้ศักยภาพของตัวเอง แต่โตขึ้นมาในลักษณะผิดธรรมชาติ เพราะ “ถูกเชิด” ขึ้นมาโดย “ไอ้โม่ง” ที่เป็นพวกอีกแอบเขี้ยวลากดิน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “เขี้ยวซ้อนเขี้ยว”
นั่นเป็นลักษณะของการเชิดขึ้นมาเป็นชั้นๆ มีการใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน มีแต่พวกระดับ “แกนนำเด็กๆ” ที่ไร้เดียงสาเท่านั้นที่ต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายในอนาคตอันใกล้นี้ นั่นคือ “คุกแน่นอน” เพราะจะหวังให้มีการ “นิรโทษ”ในภายหน้าเห็นทีจะยาก เพราะบรรดาแกนนำพวกนี้ไม่ยอมเปิดทางถอยให้กับตัวเองเอาไว้เลย มีแต่ “เล่นใหญ่” จนเกินเพดานไปไกลแล้ว
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของม็อบสารพัดชื่อพวกนี้ ที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” ในช่วงที่ผ่านมา ในช่วงเริ่มแรกที่เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รวมไปถึงประเด็นการเมืองที่พุ่งเป้าไปที่ความล้มเหลว และปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ “สาม ป.”
แน่นอนว่าย่อมต้องมีแนวร่วมไม่น้อยอยู่แล้ว อย่างน้อยก็มีพวกมวลชนฝ่ายตรงข้ามทั้งเครือข่ายพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย รวมทั้งมวลชนของพวกเขา อีกทั้งยังมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลจนเกิดแนวร่วมเข้าร่วมชุมนุมได้ค่อนข้างหนาตาทีเดียว
อย่างไรก็ดี อาจเป็นเพราะบรรดาแกนนำที่ “ถูกเชิด” ขึ้นมาทำงานสำคัญแบบนี้ ไม่ได้มีศักยภาพในตัวเอง อย่างมากก็เพียงแค่จัดกิจกรรมประท้วงในรั้วมหาวิทยาลัย ขณะที่บางคนแม้เป็นนักเคลื่อนไหวการเมืองแบบอาชีพ แต่ก็ไม่เคยมีความโดดเด่นมากก่อน เพราะหากพิจารณากันแบบไม่เกรงใจกัน ก็ลองมาไล่เรียงกันดูว่าแกนนำหลักของพวกม็อบสามนิ้ว ไม่ว่าจะเป็น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ นายภาณุพงศ์ จาดนอก ยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่พวกนี้ ล้วนโนเนม ไม่ได้มีพลังในตัวเองมากนัก
แต่เมื่อ “ถูกเชิด” โดยพวก “อีแอบ” ทั้งในและต่างประเทศดันหลังขึ้นเวที มันเลยกลายเป็น “ภาพลวงตา” ให้เข้าใจไปอีกทาง ขณะเดียวกัน เด็กๆ พวกนี้ก็เกิดความฮึกเหิม มีความเคลื่อนไหวในลักษณะที่เลยเถิด อย่างที่เห็น
ในที่สุด เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปแบบตรงกันข้าม บรรดา “ไอ้โม่ง” ชักใยที่ถูกเปิดโปงในลักษณะ “เรียกร้องแบบมีประโยชน์ทับซ้อน” เหมือนกับที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งถูกจับตามองว่าเป็นหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังม็อบสามนิ้ว ก็มีเรื่องผลประโยชน์เรื่องการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จากกรณีของน้องชาย คือ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในเรื่อง “สินบนยี่สิบล้าน” จนอื้อฉาว
อีกทั้งข้อเสนอในเรื่องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีคนดักทางว่า มีเจตนา “ล้มเจ้า” มันก็กลายเป็นจุดพลิกผันทั้งคนที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าและคนชักใยให้ “ท่อน้ำเลี้ยง” กับพวกม็อบ เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจเปลี่ยนจากรุก เป็นตั้งรับแบบถอยกรูด มันก็เลยถูกปรามาส ทั้ง “นายและบ่าว” เพราะต้องถูกดำเนินคดีกันเป็นหางว่าว
แต่สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลยว่าสาเหตุของความถดถอยของม็อบสามนิ้ว ที่เวลานี้แทบจะไร้พลัง เนื่องจากไร้มวลชนเข้าร่วม แม้ว่าเป็นเพราะเรียกร้องที่เลยเถิด มีเป้าหมายเพื่อมุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่คนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้แล้ว ยังมีลักษณะการเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำหลักที่ระยะหลังถูกมองว่าไม่ต่างจาก “ตัวตลก” ไร้แก่นสาร จนไม่อาจฝากความหวังได้เลย !!