เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าในช่วงแรกของการเคลื่อนไหวของม็อบสารพัดชื่อที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” จะสามารถสร้างความฮือฮา เป็นที่น่าจับตามองได้พอสมควร เพราะหากสังเกตให้ดี จะเห็นว่า มีมวลชนเข้าร่วมได้หนาตาพอสมควร จนสร้างความกดดันให้กับฝ่ายรัฐบาล และ “กลุ่มอำนาจใหม่” ในนามของกลุ่ม “สาม ป.” ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ป๊อก) ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากันแบบเพ่งเล็งมวลชนที่มาร่วม กลับกลายเป็นว่าเอาเข้าจริงก็ล้วนเป็นพวก “คนเสื้อแดง” ที่แตกฉานซ่านเซ็นออกมาจากบ้านเก่า ที่เจ้าของบ้านไม่ดูแลหรือเลี้ยงแบบ “ทิ้งๆ ขว้างๆ” มาพักใหญ่จนต้องออก “เกาะหานายใหม่” ในความหมายก็คือ มาเป็นฐานมวลชนให้กับกลุ่มการเมืองใหม่นั่นแหละ
หากเข้าใจกันว่า พวก “ม็อบสามนิ้ว” มีความเชื่อมโยงกันทั้งในและต่างประเทศ โดยต่างประเทศก็จะเป็นพวกที่หลบหนีคดี มาตรา 112 ที่ว่าด้วยเรื่องการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่ใช้สื่อโซเชียลฯ ปลุกระดม ปลูกฝังความเชื่อในแบบที่ตัวเองต้องการให้กับบรรดาเยาวชน นักศึกษา ที่อ่อนด้อยประสบการณ์ และเร่าร้อนจากการอ่านตำรา จนมีความเพ้อฝันในอุดมคติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจะเป็นแบบนี้มานาน ทุกยุคสมัย หรือที่เรียกว่าเป็น “ยุคแสวงหา”
ขณะที่ในประเทศจะเป็นพวกสนับสนุนทางด้าน “ทุนในการเคลื่อนไหว” ซึ่งแน่นอนว่า หากพิจารณากันแบบไม่อ้อมค้อมทุกสายตาก็มักเพ่งเล็งไปที่ “ทุนของครอบครัวตระกูลจึง” ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นั่นแหละ เนื่องจากการชุมนุมและการเคลื่อนไหวทุกครั้ง ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ซึ่งรับรองว่าบรรดาพวกแกนนำม็อบสามนิ้ว ไม่มีศักยภาพแน่นอน เพราะเพียงแค่เครื่องเสียง เวทีโครงเหล็ก ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายครั้งละนับแสนบาทเข้าไปแล้ว ยังไม่นับค่าใช้จ่ายในเรื่องอื่นอีกจิปาถะ มันถึงต้องมี “ท่อน้ำเสี้ยง” เพราะลำพังแกนนำม็อบสามสี่คนที่เห็น มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน แม้ว่าจะเป็นการชุมนุมแบบชั่วคราวแบบแฟลชม็อบ ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม
และก็อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า การเคลื่อนไหวของพวกเขาได้สร้างแรงกดดันได้มากพอสมควร โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวในช่วงแรก ที่เน้นในเรื่องข้อเรียกร้องด้านการเมืองเป็นหลัก พุ่งเป้าไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ความล้มเหลว หรือความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเมื่อใดก็เมื่อนั้น เมื่อรัฐบาลหรือผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งมานาน ก็ย่อมมีคนที่เสียประโยชน์ สร้างความไม่พอใจให้กับบางกลุ่มอยู่แล้ว
เมื่อความไม่พอใจสะสมทุกวันมันก็กลายเป็น “แรงส่ง” ชั้นดี เมื่อมีคนออกหน้า มันก็ย่อมต้องมีคนผสมโรงเข้าร่วม ซึ่งก็อย่างที่เห็นในช่วงแรกมีมวลชนค่อนข้างหนาตา
และในที่สุดก็ได้ผลในระดับหนึ่ง นั่นคือ นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพรรคร่วมรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกวุฒิสภา ก็ได้ไฟเขียว โหวตรับหลักการในวาระ 1 โดยสะดวก ทั้งที่จะว่าไปแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ถือว่าทำได้ยากมาก แต่ในที่สุดก็นำไปสู่การแก้ไข มาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้มี ส.ส.ร. นำไปสู่การแก้ไขหลายมาตรา ยกเว้นไม่มีการแตะต้องใน หมวดที่ 1 และ 2 ที่ว่าด้วยรูปแบบการปกครองและที่เกี่ยวกับอำนาจของพระมหากษัตริย์
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะมีความซับซ้อนและมีผลประโยชน์และความต้องการแบบ “ทับซ้อน” กันไปมา โดยบรรดาพรรคการเมืองที่เคลื่อนไหว ก็มีเป้าหมายเพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้กลับไปใช้วิธีการเลือกตั้งแบบ “บัตรสองใบ” โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ถือว่ามีความต้องการและผลักดันเรื่องนี้มากกว่าใคร รวมไปถึงพรรคการเมืองส่วนใหญ่ ที่เคยชินกับระบบการเลือกตั้งแบบเดิมก็ แฮปปี้
ขณะที่ “จุดพลิกผัน” เกิดขึ้นเมื่อ พวก “คนชักใย” ได้เผยธาตุแท้ความต้องการที่แท้จริงออกมาผ่านการเคลื่อนไหวของพวกแกนนำม็อบสามนิ้ว มีเป้าหมายเพื่อให้มีการ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” แต่เนื้อแท้แล้วถูกจับได้ว่ามี “เจตนาล้มล้าง” นั่นเอง จนเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ ต่อต้านอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกัน ในโลกโซเชียลฯ ที่เอกสารหลักฐานต่างๆ ได้ถูกเผยแพร่ ถูกเปิดโปงได้รวดเร็วไม่แพ้กัน ทำให้สังคมได้รับรู้เรื่อง “สินบนยี่สิบล้านบาท” ของ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชาย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพื่อแลกกับการได้เช่าที่ดินผืนงามของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
เกิดพฤติกรรมย้อนแย้งว่า พี่ชายต่อต้านระบอบกษัตริย์ ที่คนในครอบครัวซึ่งอาจไม่แน่ว่ารวมถึงตัวเขาหรือไม่ มีเจตนาต้องการที่ดินดังกล่าว และนำไปสู่ข้อสงสัยที่บังเอิญเหลือเกินว่า ทำไมพวกม็อบสามนิ้วถึงได้มีการเคลื่อนไหวต้องการบุกไปประท้วงที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ก่อนหน้านี้ มันเกี่ยวพันหรือไม่
และจากการเคลื่อนไหวในลักษณะแบบนี้นี่เองที่ทำให้ม็อบเข้าสู่ “ขาลง” อย่างรวดเร็ว จากหลักหมื่นจนปัจจุบันเหลือแค่หลักสิบหลักร้อยเท่านั้น จนต้องเลิกไปชั่วคราว ขณะที่ “ลูกพี่” คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพวก ก็สาหัสไม่แพ้กัน เมื่อผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ ที่พวกเขาให้การสนับสนุนถึง 42 จังหวัด กลับไม่ได้รับการเลือกตั้งเลยแม้แต่จังหวัดเดียว พ่ายแพ้แบบคะแนนถูกทิ้งขาดลอย ไม่ได้ลุ้นสักจังหวัด จนเขาต้องเก็บตัวเงียบ อย่างน้อยก็ได้ใช้ข้ออ้างเรื่อง “กักตัวโควิด 14 วัน” ทำให้ได้หลบหน้าหลบตาไปอีกพักหนึ่ง
ดังนั้น หากให้สรุปก็ต้องบอกว่า ปี 63 ของพวกม็อบสามนิ้วที่เริ่มต้นได้อย่างหวือหวา แต่เวลาผ่านไปไม่นานก็ลายออก กลายเป็นพวก “ขบวนการล้มเจ้า” ที่สังคมส่วนใหญ่เริ่มรังเกียจ แนวร่วมถดถอย มีแต่เรื่องน่าเบื่อหน่ายรำคาญ ขณะที่แกนนำก็ล้วนสะสมคดี เส้นทางข้างหน้ามีแต่คุกสถานเดียว !!