ลมเปลี่ยนทิศ กระแสล้มเจ้าล่มสลายมาเต็ม “ดร.สุวินัย” ฟันธง! หลัง “ก้าวหน้า” พ่ายยับเลือก นายก อบจ. “อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา” ชู กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ “หมอวรงค์” ร้อง รมว.ศึกษาฯ ขวางการเมืองใช้โรงเรียนเป็นเครื่องมือล้มสถาบัน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (23 ธ.ค. 63) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์หัวข้อ “การล่มสลายของเรื่องเล่าล้มเจ้า”
โดยระบุว่า “ไม่ว่าธนาธรจะแถแก้ตัวอย่างไร
สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ถ้าพิจารณาจากมุมมองของ “การเมืองแห่งเรื่องเล่า” ก็คือ ...
การพ่ายแพ้การเลือกตั้งนายก อบจ. อย่างถล่มทลายของ กลุ่มธนาธร มันบ่งชี้ถึง การล่มสลายของ “นิยายหรือเรื่องเล่าล้มเจ้า” (วาทกรรมล้มเจ้า) ที่เครือข่ายพวกธนาธรได้เพียรบ่มเพาะสร้างมากว่าสิบปี
จนกระทั่งกลายเป็นม็อบคณะราษฎร 2563 ที่เป็น Mass Action หรือการลุกฮือขึ้นมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน เพื่อเรียกร้องการ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” (=ลดพระราชอำนาจ) และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐ
ไม่ว่า ธนาธรและพวก จะยืนยันปฏิเสธว่า ตนเองไม่ได้อยู่เบื้องหลังม็อบคณะราษฎรแค่ไหน .... แต่ถ้าพิจารณาจากวาทกรรมหรือเรื่องเล่าแล้ว มันคือวาทกรรมล้มเจ้า หรือเรื่องเล่า (นิยาย) ล้มเจ้าชุดเดียวกันอย่างชัดเจน ... เพราะทั้งหมดล้วนอยู่ในขบวนการเดียวกัน และใช้วาทกรรม (เรื่องเล่า) ชุดเดียวกันในการสร้างขุมกำลังขึ้นมาเพื่อท้าทายอำนาจรัฐ และมุ่งพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินให้จงได้
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า กลุ่มธนาธรประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในการสร้างเรื่องเล่าที่เป็น “นิยายหลอกเด็ก” (เพื่อล้มเจ้า) ในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์
แต่พอกลุ่มธนาธรออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในโลกจริง เพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐ ...จุดอ่อนแบบ “คบเด็กสร้างบ้าน” ของกลุ่มธนาธรก็ปรากฏให้เห็น เริ่มจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค จนมาถึงการพ่ายแพ้เลือกตั้งนายก อบจ. อย่างถล่มทลาย ... เพราะไปหาเสียงที่ไหนก็ถูกประชาชนออกมาขับไล่ด้วยเพลง “หนักแผ่นดิน”
แม้แต่ม็อบเด็กอย่างม็อบคณะราษฎร ก็เป็นการนำม็อบที่สูญเสียมวลชนและแนวร่วมอย่างรวดเร็วมาก แบบทำตัวเองล้วนๆ
หากมองในเชิงขบวนการ ยอมรับตามตรงเถิดว่า “ขบวนการธนาธร” เริ่มเข้าสู่ขาลงเต็มตัวแล้ว และยากเหลือเกินที่จะฟื้นฟูพลวัตกลับคืนมาสู่จุดพีคหรือช่วงพีคเหมือนปีแรกๆ ที่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ได้อีกในช่วงสิบปีต่อจากนี้ หรืออาจตลอดไปด้วยซ้ำ”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ของ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“บุคคลใดรักใครหรือเคารพใครหรือรักเคารพใครหรือไม่ เป็นสิทธิโดยชอบกฎหมายของแต่ละคน ผู้หนึ่งผู้ใดจะมาบังคับไม่ได้
แต่ก็ไม่มีสิทธิใดๆ ที่จะล้อเลียน เยาะเย้ยถากถาง กล่าวถ้อยคำดูหมิ่น หรือใส่ความหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
ถ้ามีบุคคลหนึ่งบุคคลใดมากล่าวล้อเลียน เยาะเย้ยถากถาง กล่าวถ้อยคำดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทเรา
ทั้งถ้ากระทำต่อพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร พอใจหรือไม่
บุคคลอื่นๆ ที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็มีความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างจากเรา
การมีคนกลุ่มหนึ่ง กำลังกระทำการดังที่กล่าวมาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี ฯลฯ
ทั้งๆ ที่ทุกพระองค์ไม่เคยทรงกระทำการใดๆ ให้บุคคลใดหรือบุพการีของใครเดือดร้อนอะไรเลย
สงสัยว่า ผู้ที่กำลังกระทำๆ โดยความประสงค์ของตนเอง หรือมีผู้ใดอยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าว และต้องการหวังผลอะไรจากการกระทำเช่นนี้
แต่ไม่ว่า กระทำด้วยเหตุผลอะไร กรรมที่กำลังกระทำอยู่ ณ เวลานี้ ผู้ที่เป็นอารยชนไม่อาจยอมรับได้ จะต้องสนอง
ตอบต่อผู้กระทำอย่างแน่นอน
กฎแห่งกรรมดีและกรรมชั่วย่อมไล่ตามตอบสนองผู้กระทำอย่างยุติธรรมเสมอ หลบหนีอย่างไรก็ไม่พ้น
อาจเร็วหรือช้าหรือผลที่ได้รับจะเป็นอย่างไรก็คอยดูกันต่อไป.”
รวมทั้ง เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานยุทธศาสตร์กลุ่มไทยภักดี ก็โพสต์จังหวะก้าวเดินเกมที่จะต่อสู้กับ “ขบวนล้มเจ้า” ระบุว่า
“นี่คือข้อความหนังสือที่กลุ่มไทยภักดียื่นต่อท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีกลุ่มการเมืองพยายามเข้ามาแทรกแซงโรงเรียนและสถานศึกษา เพื่อใช้ครูและนักเรียนเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านเครือข่ายนักเรียน ตลอดจนเครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษา
อาศัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 50 บุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทางกลุ่มไทยภักดีเห็นว่า โรงเรียนและสถานศึกษา ต้องมีความชัดเจน ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งตกเป็นเป้าหมายในการทำลาย จึงขอเสนอมาตรการดังต่อไปนี้
1. กระทรวงศึกษาฯ ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนแก่ผู้บริหารทุกระดับ ของโรงเรียนและสถานศึกษา ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ต้องไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มการเมือง และเครือข่ายใช้โรงเรียนและสถานศึกษา ในการปลุกระดม จาบจ้วงสถาบันหลักของชาติ
2. กระทรวงศึกษาฯ ต้องมีนโยบาย ที่ชัดเจนต่อครูและบุคคลากรทางการศึกษา ในการพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะครูหรือบุคคลากรทางการศึกษา ที่มีจิตใจเอนเอียงสนับสนุนผู้ที่ไม่หวังดี เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะเป็นอันตรายต่อความคิดของนักเรียน
3. กระทรวงศึกษาฯ ควรมีการปรับปรุงหลักสูตร เพื่อสร้างสำนึก ของความภูมิใจในความเป็นชนชาติไทย
4. กระทรวงศึกษาฯ ควรมีกิจกรรมรณรงค์ สร้างจิตสำนึกต่อนักเรียน ครู ตลอดจนบุคลากรทางการศึกษา ให้เห็นถึงความสำคัญ และความเข้าใจที่ถูกต้อง ของสถาบันหลักของชาติ
5. ถ้าหากเกิดกิจกรรมทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในโรงเรียนหรือสถานศึกษาใด ควรต้องให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษานั้น ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ.”
แน่นอน, สิ่งที่ความคิดเห็นทั้งหมดสะท้อน ก็คือ ความล่มสลาย และขาลงของ ขบวนการเรียกร้อง “ปฏิรูปสถาบัน” นั่นเอง
ทั้งในระดับการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น นายก อบจ. ที่ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้า ไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว ต่อให้ ส.จ.หรือสมาชิกสภาจังหวัด หลุดเข้ามาได้บ้างก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับทั้งหมดแล้ว ถือว่าน้อยมาก
ในระดับการช่วงชิงมวลชนบนท้องถนน หรือ การจัดม็อบเรียกร้อง 10 ข้อเพื่อ “ปฏิรูปสถาบัน” โดยคณะราษฎร 2563 ซึ่งชัดเจนว่า เป็นการทำการเมืองนอกสภา แบบคู่ขนานกับในสภา ก็นับวันมวลชนที่เข้าร่วมชุมนุมน้อยลง และรับไม่ได้กับพฤติกรรมจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์จนเกินไป “เลยธง” ที่นักเรียน นิสิตนักศึกษา เยาวชน หรือประชาชน ที่เข้าร่วมบางส่วนคาดไม่ถึง นอกจากนี้ แกนนำยังต้องถูกบ่วงมาตรการทางกฎหมายบีบรัดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะ ม.112 ที่จะต้องต่อสู้คดีในศาล
ที่สำคัญคือ ผลการเลือกตั้งนายก อบจ. มันได้สะท้อน คำพิพากษาของ “ประชาชน” ทั้งประเทศไปแล้วเรียบร้อย ว่า เห็นด้วยหรือไม่ กับสิ่งที่แกนนำคณะก้าวหน้า ต่อสู้ ทั้งนอกสภา และในสภา เพราะอย่าลืมว่า คณะก้าวหน้า พยายามจะบอกในท่ามกลางม็อบคณะราษฎร 2563 เคลื่อนไหวว่า ถ้าเห็นด้วยกับคณะก้าวหน้า ให้เลือกผู้สมัคร คณะก้าวหน้า อย่างชัดเจน
แสดงว่า ทั้งม็อบคณะราษฎร 2563 และ คณะก้าวหน้า กำลังอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ในการต่อสู้ทางการเมือง หรือ ที่ อ.สุวินัย ฟันธงว่า กำลังล่มสลาย
อะไรไม่สำคัญ เท่ากับ โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่ขึ้นอีก การชุมนุมบนท้องถนน ที่มีผู้คนจำนวนมาก ย่อมถูกห้าม หรือ ถูกปฏิเสธการเข้าร่วมโดยปริยายอยู่แล้ว จากมวลชน ที่ไม่พร้อมจะเสี่ยงกับการติดเชื้อ หรือ แม้พร้อมจะเสี่ยง แต่รัฐบาลคงไม่ยอม เพราะจะกลายเป็นตัวแพร่เชื้อที่อันตรายที่สุด ต่อสังคมไทย นั่นเท่ากับว่า จะต้องหยุดพักชั่วคราว โดยไม่รู้กำหนด ทั้งแกนนำยังต้องต่อสู้คดีที่รัดตัวอยู่มากมาย นี่คือ สิ่งที่ไม่อาจหลีกพ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เกมรุกจึงมาอยู่ที่ฝ่ายปกป้องสถาบัน เห็นได้ชัดจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มไทยภักดีของ “หมอวรงค์” ที่ยื่นหนังสือถึง รมว.ศึกษาฯ เพื่อป้องกัน ไม่ให้กลุ่มการเมือง ใช้โรงเรียนและสถานศึกษา เป็นเครื่องมือล้มล้างสถาบัน รวมทั้งมีมาตรการจัดการกับ ผู้บริหาร ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา ที่ฝักใฝ่ล้มล้างสถาบัน นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ และได้เวลาพอดิบพอดีกับสถานการณ์ที่หยุดชะงักลง โดยหันมาตัดไฟแต่ต้นลม แม้จะดูเหมือน “วัวหายล้อมคอก” แล้วก็ตาม
นับต่อแต่นี้ จึงน่าจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เกมของฝ่าย “ปฏิรูปสถาบัน” จะยังเหลือไพ่ใหญ่อยู่ในมือหรือไม่ โดยเฉพาะไพ่ใบสุดท้าย ได้ทิ้งไปแล้วหรือยัง เป็นเครื่องตัดสินอีกครั้ง ว่า ล่มสลายจริง อย่างที่ อ.สุวินัย ฟังธงหรือไม่