“ธนาธร-คณะก้าวหน้า” พ่ายถล่มทลาย เลือกตั้งนายก อบจ. “สุวินัย” ชี้เปรี้ยง คนไทยให้คำตอบ ไม่เอาล้มเจ้า “หมอวรงค์” แนะได้เวลาม็อบกลับบ้าน ให้ “ลุงตู่” แก้โควิด-19 “นักวิชาการ 3 นิ้ว” ผิดหวัง แต่ยังอ้าง บทเรียนเพียบ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นถึงผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ว่า
“ที่ผ่านมา สังคมไทยเกิดความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในช่วงเสื้อเหลือง-เสื้อแดง หรือในช่วงระบอบทักษิณเป็นใหญ่
แต่ผลการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่คณะก้าวหน้า ของ ธนาธร-ปิยบุตร ไม่ได้เลยสักคนเดียว (0-42) ... มันมีนัยสำคัญมากๆ เมื่อคำนึงถึงความแตกแยกทางความคิดที่กลุ่ม-พรรคของธนาธรได้ปลุกปั่นล้างสมองคนไทยรุ่นใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ให้ “ชังเจ้าและชังชาติ”
... ซึ่งในที่สุดก็สำแดงตัวออกมาบนท้องถนนเป็นม็อบคณะราษฎร ที่ชู “ปฏิรูปสถาบันฯ” เพื่อลิดรอนพระราชอำนาจ (=ล้มเจ้า) เพราะผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ออกมา มันชัดเจนมากเหลือเกินว่า สังคมไทยไม่เอาพวกชังเจ้า-พวกล้มเจ้าอย่างเด็ดขาด ....โดยที่ไม่มีความเห็นต่างหรือแตกแยกในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
แปลกแต่จริง... ที่การก้าวข้ามความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในสังคมไทย มันดันออกมาในรูปของการก้าวข้าม “พวกคนบ้ากลุ่มหนึ่ง” (ทั้งพวกหน้าฉากและพวกหลังฉาก) ที่ออกมาชูธงล้มเจ้าแบบเย้ยฟ้าท้าดิน ... อย่างพร้อมเพรียงกัน
ความพร้อมใจของคนไทยทั้งประเทศนี้แหละ มันมีศักยภาพสูงมากที่จะกลายเป็นพลังสร้างสรรค์เพื่อฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ ที่กระหน่ำประเทศนี้ในตอนนี้หรือหลังจากนี้ได้ จงมุ่งไปในทิศทางนี้ร่วมกันเถิด”
ขณะเดียวกัน รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการที่ดูเหมือนมีแนวคิดสนับสนุนม็อบเยาวชนปลดแอกมาตลอด รวมทั้งอยู่ฝ่ายคณะก้าวหน้าด้วย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
"ผลเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้ผิดคาดและน่าผิดหวัง แต่ก็ให้บทเรียนสำคัญหลายข้อที่ต้องพิจารณา
แม้พรรคเพื่อไทย จะเสียบางพื้นที่ไปบ้าง แต่ผลก็น่าพอใจ ก็หวังว่า เพื่อไทยได้ปฏิรูปครั้งใหญ่จากพรรคเถ้าแก่ไปสู่พรรคมวลชน
คณะก้าวหน้า คงต้องสรุปบทเรียนอย่างจริงจังในครั้งนี้ การเมืองท้องถิ่นนั้นแตกต่างจากการเมืองระดับชาติ ในท้องถิ่น คสพ.อุปถัมป์-ผล ปย.ต่างตอบแทนฝังรากลึกในชีวิตประจำวันของผู้คน ปัจจุบันคนรุ่นเก่ายังคงครอบงำในระดับท้องถิ่น อุดมการณ์การเมืองมีความสำคัญน้อย
เป็นการยืนยันข้อสังเกตของนักวิชาการที่ว่า แต่ไหนแต่ไรมา การเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นจากข้างบนระดับชาติลงสู่ท้องถิ่นเสมอ ไม่ใช่จากฐานรากไปสู่ข้างบน คณะก้าวหน้าคงต้องปรับทิศทางจากการเป็นขบวนสังคมฐานรากไปสู่ขบวนสังคมที่มีบทบาทในระดับชาติอย่างจริงจัง ประสานการเปลี่ยนแปลงระดับชาติเข้ากับการเคลื่อนไหวฐานราก
ผลวันนี้คือบทเรียนให้ปรับตัวเพื่อก้าวไปข้างหน้า ไปสู่จุดหมายปลายทาง”
ด้าน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์กลุ่มไทยภักดี โพสต์หัวข้อ “#ได้เวลาม็อบกลับบ้าน”
เนื้อหาระบุว่า “ผลการเลือกตั้ง อบจ.ทั่วประเทศ ได้สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนที่แท้จริงว่า ไม่ต้องการพวกดูหมิ่น จาบจ้วง ล้มเจ้า แม้แต่ผู้สมัครสมาชิก อบจ.ของเครือข่ายล้มเจ้าในบางพื้นที่ที่สมัครแค่คนเดียว ยังแพ้คะแนนโหวตโน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือคำตอบ ที่ม็อบได้รับจากประชาชนเช่นกันว่า ประชาชนทั้งประเทศยังยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ต้องการสาธารณรัฐและคอมมิวนิสต์
ผลเลือกตั้งท้องถิ่นที่ออกมาเช่นนี้ ม็อบน่าจะได้เวลากลับบ้านแล้ว ปล่อยให้รัฐบาลไปทำหน้าที่จัดการโควิด ดูแลทุกข์สุขของประชาชน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า หลังจากที่ประเทศของเราเสียเวลากับม็อบมานานพอสมควรแล้ว
ท้ายนี้ก่อนม็อบกลับบ้าน อยากฝากไว้นิดหนึ่งว่า สิ่งที่แกนนำกำลังเล่นอยู่ อย่าท้าทายศรัทธาของประชาชน น้องไม่ศรัทธาเป็นเรื่องของน้อง แต่ประชาชนเขาศรัทธาของเขา ฝากไว้ว่า อย่าท้าทายศรัทธาของประชาชน”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แถลงถึงผลการเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภา อบจ. ของคณะก้าวหน้า ผ่านไลฟ์สดแฟนเพจเฟซบุ๊กคณะก้าวหน้า - Progressive Movement (ไม่เปิดโต๊ะแถลงป้องกันโควิด-19) ว่า
ใน 42 จังหวัด ที่พวกเราส่งตัวแทนเข้าแข่งขันในตำแหน่งนายก อบจ. 42 คน เราไม่สามารถช่วงชิงตำแหน่งนายก อบจ. มาได้เลยสักจังหวัด ถึงแม้จะมีปัจจัยอื่นมากมาย
“แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดเป็นเพราะการทำงานพวกเราไม่หนักพอ ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ขอโทษพี่น้องประชาชนทุกคนด้วย พวกเราผิดหวังและเสียใจ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ 42 จังหวัด เราได้รับคะแนนไว้วางใจ 2,670,798 คะแนน ขอขอบคุณทุกคะแนนที่พ่อแม่พี่น้องไว้วางใจมอบให้เรา นอกจากนี้ พวกเรายังช่วงชิงตำแหน่งสมาชิกสภา อบจ. ได้ 55 คน 18 จังหวัด การที่พวกเรามีส่วนร่วมขับเคลื่อนให้สังคมรับรู้บทบาทหน้าที่ของ อบจ. คือ ความภาคภูมิใจของเรา”
นายธนาธร กล่าวว่า เมื่อเอาผลการเลือกตั้ง อบจ. มาเทียบกับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคอนาคตใหม่ใน 42 จังหวัด เมื่อปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้ 3,183,163 คะแนน คิดเป็น 16.2 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 19,629,451 คน ขณะที่ในปี 2563 คณะก้าวหน้าได้ 2,670,798 คะแนน คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 15,730,841 คน พวกเราได้คะแนนดิบน้อยลง แต่ถ้าดูเปอร์เซ็นต์จะเห็นว่าปี 2563 เราได้เพิ่มเป็น 17 เปอร์เซ็นต์
“หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา คะแนนนิยมไม่ลดลงเลย และการเลือกตั้งรอบนี้เป็นที่รู้กันว่าไม่มีการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรและนอกเขต คะแนนที่เราได้รับมาภูมิใจยิ่ง เรายังรักษาคะแนนได้ถึง 17 เปอร์เซ็นต์”...
ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการเคลื่อนไหวต่อไปในปี 2564 ว่า ตนและแกนนำคณะก้าวหน้า รวมถึงผู้สมัครของเราจะก้าวเดินต่อไปเพื่อสร้างประเทศไทยดีกว่านี้ ไม่ย่อท้อ หนักแน่น มีพลังเหมือนเดิม เราจะสนับสนุน เสนอแนะช่วยตรวจสอบการทำงานของ อบจ. ผ่านสมาชิกสภา อบจ. ที่เราได้รับเลือก เราจะทำงานพื้นฐานในระดับเทศบาล อบต. ต่อไป เชิญพี่น้องคนรุ่นใหม่ช่วงชิงวาระเลือกตั้งเทศบาล อบต. ที่จะถึง เราตั้งใจจะนำนโยบายทำต่อในระดับเทศบาล อบต. เพื่อให้เห็นว่า ท้องถิ่นมีศักยภาพที่จะพัฒนา...
นอกจากนี้ จะเดินหน้าขับเคลื่อนรณรงค์ปักธงความคิดทางการเมือง ทั้งเนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สถานการณ์การเมือง ปฏิรูปกองทัพ กระบวนการยุติธรรม สถาบันพระมหากษัตริย์ เราจะรณรงค์อย่างต่อเนื่องในปี 2564 เราจะเก็บประสบการณ์เพื่อใช้ขับเคลื่อนประเทศที่สวยงามต่อไป
นอกจากนี้ นายธนาธร ยังตอบคำถามของสื่อมวลชนที่ส่งผ่านมาทางทีมงาน ที่ถามว่า ผลคะแนนที่เกิดขึ้น ถือว่าคะแนนของพรรคอนาคตใหม่เดิมลดลง จะกระทบต่อพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่
นายธนาธร ระบุ เป็นไปดังที่กล่าวมาแล้ว เราไม่ได้สูญเสียความมั่นใจ จะเดินหน้าต่อไป ส่วนส่งผลต่อพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกลไปคิดวิเคราะห์ แต่พวกเราจะสรุปบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งนี้ และขอเรียกร้องไปยังผู้จัดการเลือกตั้ง ให้เปิดผลการเลือกตั้งรายหน่วยทุกหน่วยทันที
อีกคำถาม ถามว่าผลคะแนนการเลือกตั้งที่ออกมา เป็นผลมาจากพูดถึงเรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ที่สังคมไทยมีคนเจ็บปวดจากการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่อีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนเรียกร้องถึงเรื่องนี้เช่นกัน การปฏิรูปเท่านั้นจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชน เป็นวิธีทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่คู่สังคมไทย ประชาธิปไตย ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน ยอมรับว่า เรามีผลกระทบแน่นอน จะมากน้อยแค่ไหนต้องรอดูผลการเลือกตั้งรายหน่วย เราถูกใส่ความโจมตีอย่างไม่เป็นธรรม ถูกมัดมือชกฝ่ายเดียว เราขอโทษที่อธิบายกับสังคมได้ไม่กระจ่างชัด หลังจากนี้ เราต้องทำงานเรื่องนี้ให้หนักขึ้น
แน่นอน, แทบไม่ต้องสงสัยว่า ประชาชนคิดอย่างไรกับการปฏิรูปสถาบัน ที่มีคณะก้าวหน้า เป็นตัวแทนในการต่อสู้ทางการเมือง ในระดับท้องถิ่นที่ผ่านมา ซึ่งผลก็อย่างที่ทราบอย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว ว่า ประชาชน ไม่เลือกนายก อบจ. ที่เป็นผู้สมัครของคณะก้าวหน้า แม้แต่คนเดียว ทั้งที่มีกระแส ม็อบคณะราษฎร 2563 ช่วยหนุนเสริมอยู่นานหลายเดือน
จนที่สุด (นอกจากคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล) หลายคนเห็นว่า ได้เวลาที่ม็อบคณะราษฎร 2563 จะสรุปบทเรียนและทบทวนตัวเอง ว่าทำในสิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนหรือไม่ สมกับที่มักอ้าง “ประชาชน” มาตลอดหรือไม่
เหนืออื่นใด ถ้ายังขืนดันทุรังต่อไป ท้าทายต่อศรัทธาประชาชนไม่เลิก ทำตัวเป็นแกะดำของสังคมไทย ใช้พลังม็อบที่เป็นกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายโดยไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน ก็ต้องรอคำตัดสินจากประชาชนอีกครั้ง ว่าจะจัดการกับคนพวกนี้อย่างไร และหลายคนเริ่มเชื่อแล้วว่า ประชาชนมีวิธีการตัดสินเรื่องนี้อยู่แล้ว เหมือนคำพิพากษา “นายก อบจ.” ครั้งนี้