จับหมาบ้าแล้วปล่อย “ท่านใหม่” สงสารพระเจ้าอยู่หัว! เรียนท่านผู้พิพากษาบางครั้งท่านก็มีความเมตตาเกินควร “ดร.อานนท์” รู้ทัน ศรีธนญชัย 3 นิ้ว “จปร” ไม่ใช่ เจริญปุระ “ชาญวิทย์” อวย “คณะทอน” สำเร็จแล้ว
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“จริงๆ แล้ว สงสารพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพวกมันกระทำความผิดต่อกฎหมาย ซึ่งผิดต้องผิด จะลงโทษมากน้อยแค่ไหนแล้วแต่ศาล ไม่ต้องเกรงเสียภาพพจน์”
ศาล และท่านผู้พิพากษา บางครั้งท่านก็มีความเมตตาเกินควร จับแล้วก็ปล่อย ให้ประกัน จับแล้วก็ปล่อย ให้ประกัน ซึ่งศาล และท่านผู้พิพากษาได้ทำทุกอย่างแล้ว แม้แต่ทำสัญญาต่อศาล ไม่ต้องวางเงินค้ำประกัน แต่พวกนั้นไม่สนใจ กับทำผิดซ้ำซาก เหมือนไม่กลัวเกรงกฎหมาย และศาลสถิตยุติธรรม กันเลย (จริงๆ แล้วก็ไม่กลัวเกรงอำนาจรัฐด้วย) เหมือนคนบ้า เหมือนคนไม่มีสติสัมปชัญญะ เหมือนหมาบ้า ได้ใจกัน ผมในฐานะประชาชนคนไทย ขอเรียนชี้แจงต่อกระบวนการยุติธรรม ว่า
“สถาบัน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงอยู่ในฐานะพระประมุขของประเทศ ทรงเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะล่วงละเมิด หรือใช้สิทธิและเสรีภาพให้เป็นปฏิปักษ์ในทางหนึ่งทางใดมิได้”
“การกระทำที่เป็นความผิดนั้น ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมด มิใช่ลำพังจะพิจารณาแต่คำพูดของผู้กระทำเท่านั้น แต่หมายความรวมทั้งกระทำ ทั้งคำพูด ทั้งกิริยาอาการ และสถานที่ที่มุ่งประสงค์จะเป็นจุดเกาะเกี่ยวที่สื่อให้คนทั่วไปเห็นได้ว่า เกี่ยวข้องกับองค์พระมหากษัตริย์ และการกระทำดังกล่าวนั้น ทำโดยมีเจตนาให้องค์พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ลดด้อยความเป็นประมุขของประเทศตามรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดที่ประเทศชาติเสียหาย มิใช่เฉพาะพระองค์ท่าน”
ผมขออนุญาตคัดลอกข้อความของ ท่าน ส.ว.สมชาย แสวงการ มาให้อ่านกัน ถ้ายังไม่ผ่านสายตา
#กระบวนการยุติธรรมจักต้องเดินหน้ายุติเรื่องด้วยความเป็นธรรม
อาจารย์นักกฎหมายผู้ใหญ่ของประเทศกล่าวให้ความเห็นทางกฎหมายต่อผม ที่ส่วนตัวเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ที่ผู้มีหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมจะได้ประกอบการพิจารณา
ต่อกรณีที่กลุ่มบุคคลได้กระทำการผิด หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ต่างกรรมต่างวาระซ้ำซาก ท้าทายไม่เคารพยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของชาติ และทำร้ายต่อความรู้สึกจิตใจของพสกนิกรชาวไทยทั้งปวง
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงอยู่ในฐานะพระประมุขของประเทศ ทรงเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะล่วงละเมิด หรือใช้สิทธิและเสรีภาพ ให้เป็นปฏิปักษ์ในทางหนึ่งทางใดมิได้”
“การกระทำที่เป็นความผิดนั้น ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมด มิใช่ลำพังจะพิจารณาแต่คำพูดของผู้กระทำเท่านั้น แต่หมายความรวมทั้งกระทำ ทั้งคำพูด ทั้งกิริยาอาการ และสถานที่ที่มุ่งประสงค์จะเป็นจุดเกาะเกี่ยวที่สื่อให้คนทั่วไปเห็นได้ว่าเกี่ยวข้องกับองค์พระมหากษัตริย์ และการกระทำดังกล่าวนั้น ทำโดยมีเจตนาให้องค์พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ลดด้อยความเป็นประมุขของประเทศตามรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดที่ประเทศชาติเสียหาย มิใช่เฉพาะพระองค์ท่าน หากชาวต่างชาติกระทำในลักษณะนี้ เราคงต้องดำเนินการ แต่นี่มันเป็นคนไทยเรากันเอง คงจะปล่อยให้ทำต่อไปไม่ได้”
“ผิดต้องผิด จะลงโทษมากน้อยแค่ไหนแล้วแต่ศาล ไม่ต้องเกรงเสียภาพพจน์”
ความเห็นของอาจารย์นักกฎหมายผู้ใหญ่ของประเทศท่านนี้ สมควรแล้วที่ผู้มีหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำ จะรับไว้เป็นข้อพิจารณา เพื่อดำเนินการให้เกิดความยุติธรรมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้เกิดความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในชาติบ้านเมือง ใช่หรือไม่ครับ
ด้วยความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งปวงในบ้านเมืองนี้
สมชาย แสวงการ
สมาชิกวุฒิสภา
ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน
สิทธิเสรีภาพและคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา
22 ธันวาคม 2563”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความว่า
“จปร คือ อักษรย่อพระนามาภิไธย จุฬาลงกรณ์ ปรมราชาธิราชา อันหมายความว่า บรมราชาธิราช ผู้ทรงพระนาม จุฬาลงกรณ์
นี่คือการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีความผิดตามมาตรา 112
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จึงเรียกสั้นๆ ว่า โรงเรียนนายร้อย จปร
จปร จึงไม่ใช่เจริญปุระ และผมคิดว่า ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย จปร ผู้เคยลั่นคำปฏิญาณ ทุกครั้งที่สวนสนามผ่านลานพระบรมรูปทรงม้า ว่า ข้า จะรักษา มรดก ของพระองค์ไว้ด้วยเลือด จะทนการย่ำยีดูหมิ่น พระปรมาภิไธยย่อ และการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นนี้ได้จริงหรือ?”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ของนายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความ หัวข้อ “ผลการเลือกตั้ง อบจ. ทั่วประเทศ บอกอะไรบ้าง?”
เนื้อหาระบุว่า 1. เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ประชาชนไทยทั่วประเทศไม่วางใจให้กาเหว่า เป็นผู้บริหาร อบจ. จึงพ่ายราบแพ้เรียบทั้งประเทศ แม้จังหวัดที่มีผู้สมัครเป็นกาเหว่าคนเดียวก็ยังแพ้เสียงโหวตโน
ดังนั้น นับแต่วันนี้ไป กาเหว่าจึงไม่มีสิทธิ์อ้างว่า เป็นผู้แทนของประชาชนไทยทั่วประเทศ และไม่มีสิทธิ์ อ้างประชาชนอีกแล้ว!!!
2. พลพรรคกาเหว่าได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภา อบจ. 57 คน ในจำนวน 42 จังหวัดที่ส่งลงสมัคร แสดงถึงการให้โอกาส ให้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านในสภาจังหวัดๆ ละคนสองคน ในลักษณะเสียงค้านเสียงทักของจิ้งจกตุ๊กแก!!!
ก็ควรสำนึกบุญคุณของประชาชนที่ยังให้โอกาสเช่นนี้ และพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
3. ความพ่ายแพ้ยับเยินในครั้งนี้ เกิดจากขบวนการกาเหว่ามีพฤติกรรมล้มเจ้า ซึ่งเป็นปรปักษ์กับประชาชนทั้งประเทศ และใกล้ถึงเส้นที่ประชาชนจะขับไล่ทั่วประเทศแล้ว
ดังนั้น ถ้ามีสำนึกประชาธิปไตยอยู่บ้าง พวกกาเหว่าจะต้องเลิกหรือยุติ การเหยียบย่ำน้ำใจประชาชนไทยที่ทำการละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ทันที แล้วกลับมาเป็นพสกนิกรที่ดีของพระองค์ เพื่อความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมืองและความสงบสุขของประชาชนสืบไป
4. นักประชาธิปไตยจะต้องสำเหนียกเสมอว่า ตัวเองอาจไม่เข้าใจประชาชน
อย่าเอาแต่ตำหนิประชาชนว่า ที่พ่ายแพ้ เป็นเพราะประชาชนไม่ยอมรับความก้าวหน้า!!!...
ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) นักเขียนรางวัลศรีบูรพา ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ถึงผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ในส่วนของคณะก้าวหน้า ระบุว่า
“Congratulations แม้จะเป็นครั้งแรก
ก็สรุปได้ว่า ประสบความสำเร็จ ไม่มาก ไม่น้อย ครับ
Congratulations
สรุปว่า ประสบความสำเร็จ ไม่มาก ไม่น้อย ครับ.”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เกมของม็อบ 3 นิ้ว หรือ ม็อบคณะราษฎร 2563 ที่นับวันถือว่า เข้าข่ายทำความผิด ม.112 อย่างชัดเจนหลายคดี และขืนถ้ายังเดินหน้าท้าชนอยู่อย่างนี้ อาจเข้าข่ายยั่วยุให้เกิดความรุนแรงขึ้นด้วย
เพราะอย่าลืม ประเด็นที่ว่า ย่ำยีหัวใจคนไทยมากไปแล้ว จะเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เพราะยั่วยุได้ ก็ต้องมีฝ่ายที่ไม่ยอมให้ทำอะไรตามอำเภอใจได้เช่นกัน?
ยิ่งสัญญาณที่บ่งออกให้เห็น บางครั้งความอดทนก็มีขีดจำกัด อะไรก็เกิดขึ้นได้
ส่วนด้านหนึ่ง เป้าหมาย “ท้องถิ่น (ชนบท) ล้อมเมือง” ในการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง นายก อบจ. และสมาชิก อบจ. ของคณะก้าวหน้า ที่ฝันเอาไว้อย่างสูงว่า จะได้รับเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ก็พลาดท่าเสียที แพ้ยับไม่ได้นายก อบจ.เลยสักคน ถึงขั้นแพ้ทิ้งห่างอย่างถล่มทลายเช่นกัน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า “คณะก้าวหน้า” รวมทั้งพรรคก้าวไกล ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ สนับสนุนการชุมนุม “ปฏิรูปสถาบัน” ของม็อบเยาวชนปลดแอก หรือ คณะราษฎร 2563
จน “กูรู” ทั้งหลายที่ไม่เอียงข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ลงความเห็นว่า เป็นเพราะคนไทย ไม่ยินยอมให้มีการปฏิรูปสถาบัน และ “ล้มเจ้า”
ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ตามมา ก็คือ ม็อบ 3 นิ้ว และคณะก้าวหน้า รวมทั้งพรรคก้าวไกล จะเอาอย่างไรกับ “ธง” ที่ต่อสู้กับศรัทธาประชาชน???
ไปต่อ หรือ ทบทวนตัวเอง ไม่ยอมเป็นทาส คนที่หนุนหลังเพื่อหวังผลประโยชน์จากการ “ล้มเจ้า” เพราะแค่นี้ก็สู้คดี ม.112 ไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว ซึ่งถ้าทบทวนตัวเอง หนักน่าจะกลายเป็นเบา ประชาชนน่าจะให้อภัยกับลูกหลานและผู้หลงผิดได้
แต่ถ้าไปต่อ... การต่อสู้ที่ผ่านมา ถือว่ายังไม่พอ ต้องออกแรงหนักกว่านี้ และทะลุเพดานมากกว่านี้ ที่สำคัญต้องทะเลาะกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าไปใหญ่ จะเอาอย่างนั้น หรือไม่
และเชื่อว่า คะแนนนิยมทางการเมืองของคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ก็จะยิ่งถูกตัดสินจากประชาชน ผู้ไม่เห็นด้วยกับการ “ล้มเจ้า” จนไม่ได้ผุดได้เกิด เพราะข้อเสนอ “ปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ” นั้น ทำเอาคนไทยตกใจอย่างมาก
เพราะเท่ากับจำกัดสิทธิเสรีภาพที่เคยมีมาหลายอย่าง ถือว่า ทำเกินไปกับสถาบันอยู่เหมือนกัน ลองอ่านดูให้ดี ต้องคนที่โกรธ เกลียดกันเท่านั้น ที่จะทำกันได้ขนาดนี้ ลองชั่งน้ำหนักอกเข้าอกเราดู ถ้าเป็นตัวเองจะยอมได้หรือไม่???
เหนืออื่นใดที่ถือว่า ผิดมหันต์ก็คือ แกนนำม็อบ 3 นิ้ว และแกนนำคณะก้าวหน้า รวมทั้ง ส.ส.พรรคก้าวไกล ทั้งหมด ทำเหมือนกับยอมรับโดยปริยายว่า มีอุดมการณ์การต่อสู้ทางการเมืองที่ไม่เอาเจ้า หรือ ทำนองใช้ม็อบบีบให้เจ้า “ปฏิรูป” ถ้าไม่ปฏิรูปแต่โดยดี ก็จะ “ปฏิวัติ” เสียเลย
แล้วเมื่อประชาชน ไม่เล่นด้วย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือ ผลการเลือกตั้ง ยังจะมีหน้าเอาอะไรมากล่าวอ้างอีก ประชาชนเขาคงอยากรู้อยู่เหมือนกัน!!!