“อดีตรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์” จับไต๋เป้าหมาย “3 นิ้ว” ทำไมไล่บี้เลิก ม.112 “ไพศาล” แฉเบื้องหลังกลายพันธุ์เป็นคอมมิวนิสต์ ทุกข้อสงสัยมีคำตอบ “วิโรจน์ ก้าวไกล” ชี้หากรัฐใช้มาตรานี้กับประชาชนอย่างมีอคติก็ยากสมานฉันท์
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (14 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความระบุว่า
“ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 บัญญัติไว้ดังนี้
“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่ 3 โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ลองเปรียบเทียบประมวลกฎหมายอาญาทั้ง 2 มาตรา ส่วนที่ต่างกันที่เป็นสาระสำคัญจริงๆ ก็คือ อัตราโทษเท่านั้น
การกำหนดอัตราโทษที่สูงกว่า สำหรับการหมิ่นประมาท หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพองค์พระมหากษัตริย์ หรือหมิ่นประมาทประมุขสูงสุดของประเทศ เป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผล
การจะให้ยกเลิกมาตรา 112 แล้วให้พระมหากษัตริย์ใช้มาตรา 326 เช่นเดียวกับคนทั่วไป เป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ประการที่ 1 การจะให้พระมหากษัตริย์ทรงดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาทเอง และเป็นคู่กรณีกับคนทั่วไป เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงเท่ากับเป็นการลิดรอนสิทธิของพระมหากษัตริย์ในการปกป้องพระเกียรติของพระองค์
ประการที่ 2 การมีกฎหมายปกป้องคุ้มครองประมุขสูงสุดของประเทศ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่มีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แม้ไม่ได้มีทุกประเทศ แต่การที่บอกว่า ไม่ยอมรับกฎหมายนี้ เนื่องจากไม่เป็นสากล เพราะประเทศอื่นๆ ไม่มี เป็นการบิดเบือนจากความจริง
เหตุผลข้อเดียวที่ฟังขึ้นในการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยใช้อ้างกัน คือ เปิดโอกาสให้มีการใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ด้วยการใช้มาตรานี้แจ้งความดำเนินคดีต่อบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากใครก็สามารถไปร้องทุกข์กล่าวโทษกรณีนี้ได้
ปัญหาข้างต้นน่าจะแก้ได้โดยไม่ต้องยกเลิกมาตรา 112 กล่าวคือ ให้กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสียว่า ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจะเป็นใครได้บ้าง เช่น กำหนดให้ผู้ที่จะร้องทุกข์กล่าวโทษได้คือ เลขาธิการสำนักพระราชวัง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นต้น
การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่อยากจะกล่าวหา โจมตีด้วยคำหยาบคาย ล้อเลียน หรือกระทำการใดๆที่เป็นการหมิ่นพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ กระทำได้อย่างสะดวก เพราะไม่ต้องกลัวถูกดำเนินคดี
ดังนั้น ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการยกเลิกมาตรา 112 จึงเป็นบุคคลประเภทดังกล่าว ประชาชนทั่วไปที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย เพราะประชาชนทั่วไป ไม่ได้มีความประสงค์จะทำผิดกฎหมายมาตรานี้อยู่แล้ว
นอกจากมาตรา 112 ยังมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 133 ที่มีไว้เพื่อปกป้องกษัตริย์ หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี ซึ่งหากยกเลิกมาตรา 112 โดยไม่แตะต้องมาตรานี้ จะหมายความว่าอย่างไร
การเรียกร้องที่เน้นให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อยู่ในขณะนี้ จึงดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เป็นการเรียกร้องเพื่อส่วนรวมจริง แต่เป็นการเรียกร้องเพื่อตัวเองและพรรคพวก ที่กำลังถูกดำเนินคดีกันเป็นระนาว และเพื่อจะได้สามารถจาบจ้วงล่วงละเมิดกันให้สนุกปากได้ต่อไป เสียมากกว่า”
ขณะเดียวกัน นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“ใครอยู่เบื้องหลังทำให้กาเหว่ากลายพันธุ์เป็นคอมมิวนิสต์?
1. ลุงธง แจ่มศรี อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ที่ปรึกษาพรรคอนาคตใหม่ สิ้นบุญไปเมื่อปีก่อน จึงไม่ใช่ต้นความคิดเรื่องนี้!
ส่วนคุณปวิน หนีคดีไปลี้ภัยอยู่ในญี่ปุ่น ก็ย่อมไม่ใช่ต้นคิดเรื่องนี้!
3. คงเหลือแต่ คุณจรัล คุณสมศักดิ์เจียม ที่อยู่ฝรั่งเศส และสุนัยที่อยู่อเมริกา
แต่คุณสุนัยไม่ใช่หัวสังคมนิยม จึงตัดออกไปได้
แนวคิดสังคมนิยม จึงน่าจะมาจาก อาจารย์จรัล หรือสมศักดิ์เจียม!
เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาจมในธรรมศาสตร์!!!
4. นักลัทธิมาร์ก-เลนินย่อมรู้ดีกันทุกคนว่า
การปฏิวัติประชาชาตินั้น ไม่สามารถพึ่งพาอาศัยชนชั้น “นายทุนน้อย” ซึ่งหมายรวมถึงนิสิตนักศึกษาด้วย แต่ต้องพึ่งกำลังหลักคือชนชั้นกรรมาชีพ ได้แก่ กรรมกร-ชาวนา
5. การปฏิวัติในรัสเซียสำเร็จ เพราะเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมเจริญเติบโต ชนกรรมาชีพหรือกรรมกรจึงเป็นกำลังหลัก
ในประเทศจีนตอนแรกก็เอาแบบอย่างรัสเซีย แต่ล้มเหลวถูกฆ่าตายเป็นเบือ
ในที่สุดก็ต้องไปเข้าร่วมกับเหมา เจ๋อตง ซึ่งตั้งฐานที่มั่นนักรบแดงชาวนา อยู่ที่จิ่งกังซาน และอาศัยชาวนาซึ่งถูกกดขี่มากที่สุดเป็นกำลังหลักของการปฏิวัติจีนจนได้รับชัยชนะ
6. การหลอกเด็กเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาชาติ-ล้มเจ้า เกือบปีมาแล้ว มีแต่ความล้มเหลว
ดังนั้น จึงอาจเป็นที่มาของการเปลี่ยนแนวคิด เป็นคอมมิวนิสต์สายเวียดนาม
ซึ่งเคยอาศัยกำลังกรรมกรชาวนา และทำสงครามจรยุทธ์ในเมือง ต่อสู้กับสหรัฐและรัฐบาลหุ่น จนได้ชัยชนะ!!!
แต่เมื่อวิเคราะห์ดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา และแนวโน้มที่จะเป็นไปแล้ว ก็ฟันธงได้ว่า
จากนี้ไป ม็อบกาเหว่า จะใช้ถ้อยคำ ชนชั้นกรรมาชีพ กรรมกรชาวนาและผู้ถูกกดขี่มากขึ้น
ซึ่งกระจอกและอ่อนหัดเกินไป!!!!
อนาคตของม็อบกาเหว่า จึงน่าจะซ้ำรอยม็อบฮ่องกง โจชัว หว่อง และพวก!!!!”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์หัวข้อ “#มาตรา112 ต้องไม่ปล่อยตามเกมเขา”
เนื้อหาระบุว่า “ช่วงนี้พวกม็อบ ยิ่งแสดงบทอันธพาล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้ยั่วยุ จาบจ้วง ใช้คำหยาบต่อสถาบันฯ จนทำให้ประชาชนไม่พอใจ เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดีตามมาตรา 112
เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มขยับ คนเหล่านี้ออกมาโวยวายว่าถูกรังแก ถูกปิดปาก ไม่เป็นเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆที่คนพวกนี้เป็นฝ่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น สถาบันฯ จนประชาชนทนไม่ได้ ต้องกดดันรัฐบาล
ประชาชนก็เห็นกับตา คนพวกนี้ก็รู้อยู่กับใจว่า ต้องการล้มล้าง เปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่สาธารณรัฐ เมื่อถึงบทที่ประชาชนขยับกดดันให้รัฐดำเนินคดี กลับออกมาโวยวาย
พวกเราคือประชาชน ที่รักความถูกต้อง ชอบธรรม เคารพกฎหมาย ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต้องไม่ปล่อยไปตามเกมที่เขากำหนด
กลุ่มไทยภักดี ขอดูท่าทีการแถลงข่าวของพรรคการเมือง ที่สนับสนุนม็อบนัดแถลงข่าววันที่ 15 ธันวาคมนี้ก่อน และจะนัดแถลงข่าวแสดงจุดยืนอีกที....#ต้องติดตาม
#save112
#ปกป้องสถาบันฯปกป้องประเทศ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการดำเนินคดีในมาตรา 112 กับประชาชนไป 40 กว่าคนแล้ว ซึ่งแกนนำก็โดนคดีรวมๆ กันมากกว่า 200 คดี ว่าแบบนี้จะสมานฉันท์กันได้อย่างไร นี่เป็นการทำนิติสงครามกับประชาชนที่สะท้อนการบังคับใช้กฎหมายอย่างแท้จริง เพราะมีการตีความอย่างกว้างตามอคติ และให้ใครก็ได้เข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษมั่วไปหมด
เข้าใจว่าตำรวจจะไม่ทำก็อาจจะโดนมาตรา 157 แต่เมื่อทำก็กลายเป็นคดีที่อธิบายกับสังคมไม่ได้ มีแต่บอกว่าอาฆาตมาดร้ายสถาบันฯ แต่ถามว่าอย่างไร อะไรคือหลักฐาน กลับไม่มีการเปิดเผยให้กับสาธารณชนทราบ นี่เป็นปัญหาความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคของมาตรา 112
“ตราบใดที่รัฐธรรมนูญไม่ได้มาจากประชาชน และการบังคับใช้มาตรา 112 กับประชาชน ยังเป็นแบบการตีความอย่างกว้างขวางตามอคติ และปล่อยให้ฟ้องร้องมั่วกันหมดแบบนี้ ก็ยังต้องถามอยู่ว่าจะสมานฉันท์กันได้อย่างไร...” https://www.khaosod.co.th/politics/news_5521169
แน่นอน, สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ คือ การต่อสู้เพื่อยกเลิก ม.112 กับ การต่อสู้เพื่อรักษา ม.112 เอาไว้ ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นเอง
ส่วนสองขั้วขัดแย้งก็ยังคงเป็นสองขั้วเดิม คือ ฝ่ายต้องการปฏิรูปสถาบันฯ อันประกอบด้วยม็อบเยาวชนปลดแอก กลุ่มราษฎร 2563 และแนวร่วมอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหลาย และฝ่ายที่ต้องการปกป้องสถาบันฯ ก็ประกอบไปด้วยกลุ่มต่างๆ และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ยังคงจงรักภักดีต่อสถาบันฯ
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเกมฝ่ายหนึ่งจะดำเนินไปอย่างไร ยุทธวิธีจะเปลี่ยนลัทธิ หรือโมเดล ยิ่งกว่าไดโนเสาร์ที่กล่าวหาเขาเอาไว้อย่างไร เกมอีกฝ่ายก็ยังคงเกาะติดกัดไม่ปล่อย และพร้อมเปิดศึกสู้อย่างไม่ลดละเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงหาใช่ใครที่ไหน คือคนไทยทั้งประเทศนั่นเองที่ต้องมารับเคราะห์เข็ญเวรกรรมกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ หรือเป็นมติมหาชนแต่อย่างใด หากแต่เกิดจากคนบางกลุ่มที่หลอกใช้นักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง โดยเอาประเทศและประชาชนทั้งประเทศเป็นตัวประกัน และเป็นตายร้ายดีก็จะเปลี่ยนประเทศให้จงได้
นี่เอง คือสิ่งที่น่าเศร้าใจที่สุด และด้วยความประนีประนอมของคนไทย ชะตากรรมของประเทศจึงตกอยู่ในวังวนความทุกข์ทนอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ลองคิดดูเอาเถิดวิญญูชนทั้งหลาย ยังไม่สายเกินไปที่จะกลับตัวทัน หรือว่าพร้อมที่จะเสี่ยงไปกับม็อบเด็ก ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว