xs
xsm
sm
md
lg

“ท่านใหม่” จัดเต็ม อีแอบหลอกใช้เด็ก “ดร.อานนท์” สอน ม.112 พวกแกล้งโง่ “อัษฎางค์” เหน็บเจ็บ อิสรภาพตามสั่ง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” จากแฟ้ม
“ท่านใหม่” ซัดขบวน “อีแอบ” เบื้องหลัง “3 นิ้ว” ออกมากล้าชน กล้าสู้ อย่าหลอกใช้เด็ก “ดร.อานนท์” สอนใหญ่ ม.112 ทำไมต้องมี เสริมปัญญาพวกแกล้งโง่ “อัษฎางค์” เหน็บเจ็บ เรียกร้องอิสรภาพ แต่ทำตามคำสั่ง

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 ธ.ค. 63) เฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความระบุว่า

“สวัสดีปีใหม่ กันบนท้องถนน ในคุก หรือกับครอบครัว เพื่อนฝูง กันดี

พวกอีแอบชักใยเบื้องหลังแกนนำม็อบเด็กปลดแอก กล้าๆ หน่อย

จบกันได้แล้วครับ พวกจำอวด สามช่าหน้าม่าน ทุกอย่างเป็นจำอวด เนื้อหาไม่มีแก่นสารอะไร นอกจากล้มสถาบัน ด่าสถาบันเท่านั้น และนี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว เป็นเวลาที่ประชาชนจะได้พักผ่อน มีความสุขอยู่กับครอบครัว และคนที่รัก

ตอนนี้ ประชาชนเอือมระอากับพวกคุณ เด็กก็เบื่อหน่ายไม่ไปม็อบเป็นเครื่องมือให้ถูกหลอกใช้แล้ว ไปแล้วไม่ได้อะไรเลย ยิ่งออกมาเคลื่อนไหวจาบจ้วงมากเท่าไหร่ คุกและโทษทัณฑ์ ก็รอมากเท่านั้น แทนที่จะติดคุกแค่ปีเดียว ยิ่งจัดม็อบออกมามากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นดินพอกหางหมู จากปีเดียว ก็เป็น สิบ ยี่สิบปี ต่อไปนี้จะได้ฉลองปีใหม่กันในคุกเป็นยี่สิบปี

จบได้แล้ว อย่าหลอกผลักเด็กออกมาเคลื่อนไหวข้างหน้า ตัวเองชักใยอยู่เบื้องหลัง สุดอำมหิต พวกแกนนำตัวจริงอีแอบ พวกสามสัส พวกอาจารย์มหาวิทยาลัยที่อยู่เบื้องหลังคอยยุยงปลุกปั่นเด็กออกมาเคลื่อนไหว แต่ตัวเองสุขสบายดี ที่บอกว่าจะลาออกก็ไม่เห็นจะลาออก แค่สัจจะยังไม่มี

มาอีกแล้ว พวกอาจารย์มหาวิทยาลัยอีแอบล้มเจ้ากลุ่มหนึ่งแถวสามย่าน ก็ออกมาถวายฎีกา ขอยกเลิกการบังคับใช้ มาตรา 112 ทำตัวเหมือนที่อาจารย์อีแอบแถวท่าพระจันทร์เคยทำมา (นึกว่าจบไปแล้ว) จะถวายฎีกาเพื่ออะไร คนธรรมดาหากถูกหมิ่นประมาท และถูกขู่ฆ่าก็ยังฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาเพื่อลงโทษเอาผิดคนที่ทำผิดได้ พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงอยู่ในฐานะที่จะทรงฟ้องร้องได้เองก็เลยต้องมีกฎหมายคุ้มครองให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองดำเนินคดีแทนได้

พวกอาจารย์อีแอบ นักการเมืองอีแอบล้มเจ้าทั้งหลาย ถ้าไม่ได้ทำชั่ว ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนกินปูนร้อนท้องมาถวายฎีกาไปเพื่อเหตุใด

อีแอบหลังม่านทั้งหลายทั้งที่ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ เชียงใหม่ ออกมาขึ้นเวทีกล้าชน กล้าสู้ อย่าหลอกใช้เด็ก บาปกรรม อำมหิต เป็นถึงครูบาอาจารย์แต่หลอกใช้เด็กเพื่อทำลายอนาคตเด็ก ถ้าแน่จริง เก่งกล้าจริง อย่างนิธิ หรือ ศ.....ก็ออกหน้า อย่าเป็นอีแอบ ประกาศออกมาเปิดหน้าสู้ให้ชัดเจนไปเลย ว่าจะขอเปลี่ยนแปลงประเทศ จะล้มสถาบันให้หมดไปจากประเทศไทย

อาจารย์อีแอบอำมหิตเหล่านี้ มีขุมกำลังมากมาย มีความรู้ มีนักการเมืองหนุนหลัง ถ้ายังมีความละอายและยังมีความกล้าหาญทางจริยธรรมอยู่บ้าง ก็รวมตัวกันออกมากันซิครับ จัดกันให้เต็มที่กันเลย แบบ กปปส. แล้วออกมาขับไล่ พระมหากษัตริย์ และสถาบันกันเลย แล้วให้ประชาชน เลือกว่า จะอยู่กันอย่างไรในพระราชอาณาจักรนี้ จะเป็นสาธารณรัฐ จะเป็นคอมมิวนิสต์ จะเป็นประชาธิปไตยขี้ข้าตะวันตก ขายชาติ บ้านเมือง ก็ออกหน้าสู้ให้เต็มที่

ผมว่า พวกอีแอบทั้งหลาย ทั้งสามสัส (มีโอกาสอยู่คุก หรือเนรเทศตัวเองหาประเทศใหม่อยู่กันสูง) นักการเมือง ทั้งสัมภเวสีไม่มีแผ่นดินอยู่ ทั้งพวกอาจารย์มหาวิทยาลัยอำมหิต ที่ล้วนแล้วแต่หลอกใช้เด็ก หากถือว่าเสียงประชาชนทั่วประเทศเป็นเสียงสวรรค์ ก็ตั้งเวทีหลังโควิดเลิกระบาด แบบ กปปส พธ คสช กันเลยยังมีเวลาครับ เที่ยวปีใหม่ ทำบุญทำทาน กันก่อน.”

ภาพ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ทำไมต้องบังคับใช้มาตรา 112 อย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม”

โดยระบุว่า หนึ่ง มาตรา 112 มีสองมูลความผิด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และ อาฆาตมาดร้าย ซึ่งสำหรับคนปกติคือคดีหมิ่นประมาทและคดีขู่ฆ่าเอาชีวิต ในเมื่อคนธรรมดาสามัญ กฎหมายก็ยังต้องคุ้มครองหากมีมูลฐานความผิดเดียวกัน แล้วทำไมองค์พระประมุข ผู้ทรงเป็นรัฎฐาธิปัตย์ สำคัญยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ กฎหมายจะไม่คุ้มครอง

มีนักการเมืองที่มีความคิดล้มเจ้า เข้าไปร่วมการชุมนุมและให้เงินแก่แกนนำปลดแอก ตัวเองก็ยังฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทได้ แล้วเหตุไฉน จะยกเลิกมาตรา 112 จะให้พระเจ้าแผ่นดินได้รับความคุ้มครองน้อยกว่าตนเองจะได้รังแกพระเจ้าแผ่นดินได้ตามอำเภอใจเช่นนั้นหรือ

สอง สากลและนานาประเทศ ล้วนแล้วแต่มีการคุ้มครองประมุขและองค์พระประมุขของประเทศตนเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะการปกครองในระบอบไหน ไม่เช่นนั้น จะมีปัญหาปกครองกันไม่ได้เลย

สาม เวลาประมุขของประเทศอื่นเสด็จหรือเดินทางมาเยือนประเทศไทย ก็ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายแบบเดียวกันกับมาตรา 112 คือ ใช้มาตรา 113 แล้วทำไมไม่คุ้มครององค์พระประมุขของประเทศตัวเอง คงเป็นเรื่องลักลั่นกันมากที่สุด

สี่ องค์พระประมุขไม่ทรงอยู่ในฐานะที่จะฟ้องร้องคดีต่อผู้ละเมิดพระองค์ได้ ไม่เหมือนกับบุคคลธรรมดา จำเป็นต้องมีกฎหมายมาตรา 112 เพื่อให้เจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ดำเนินการฟ้องร้องและจับกุมดำเนินคดีได้แทนองค์พระมหากษัตริย์

ห้า มาตรา 112 เป็นการคุ้มครององค์พระประมุขของประเทศ อันสอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ ดังรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 6 ได้บัญญัติไว้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้

ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้

หก การไม่มีการลงโทษผู้กล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้อย่างเสรี จะทำให้เกิดความเหยียดหยามได้ เพราะทำจนเคยชิน ดังภาษิตที่ว่า ความคุ้นเคยบ่มเพาะให้เกิดความเหยียดหยาม หากเป็นเช่นนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์จะสั่นคลอนและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

เจ็ด เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และการอาฆาตมาดร้าย เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่โปรดให้ใช้มาตรา 112 ทั้งที่ในความจริงอาจจะไม่โปรดให้ใช้ เพราะจะเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง หรือใช้อย่างไม่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตาม การกระทำผิดโดยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและอาฆาตมาดร้ายนั้นเพิ่มขึ้นมาก เพราะไม่ต้องเกรงกลัวความผิดอีกต่อไป ทำให้สังคมขาดหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม ขาดการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้บ้านเมืองไร้ขื่อไร้แป

แปด ทั้งนี้ การไม่บังคับใช้มาตรา 112 ทำให้คนหลายคนคะนอง เหิมเกริม จ้วงจาบหยาบช้ามากยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่าไม่ว่าจะทำผิดกฎหมายมาตรา 112 มากเพียงใดก็จะปลอดภัยไม่ได้รับการลงโทษ ทั้งยังได้รับแรงเสริมทางบวกจากหลายๆ คน เพราะจะได้กลายเป็นจ่าฝูง เป็นแกนนำ ในการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ในหมู่มวลชนปฏิกษัตริย์นิยม ยิ่งทำให้เกิดการกระทำผิดมากยิ่งขึ้น

เก้า กฎหมายทุกมาตรามีสภาพเป็นบทลงโทษและความรุนแรง เพื่อใช้ระงับและข่มขู่คาดโทษไม่ให้เกิดความรุนแรงที่ไม่พึงปรารถนาแก่สังคม การลงโทษและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดหลักนิติรัฐ ซึ่งนำไปสู่รัฐในอุดมคติหรืออุตมรัฐ สังคมใดก็ตามที่การบังคับใช้กฎหมายย่อหย่อนมากจะมีปัญหาอาชญากรรมและการกระทำผิดกฎหมายอย่างมากมาย เพราะคนในสังคมจะไม่เกรงกลัวต่อการกระทำความผิด เนื่องจากจะไม่ได้รับโทษ ลอยนวล

สิบ ที่ผ่านมา การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มักเกิดจากการใช้ข้อความอันเป็นเท็จ โกหก ใส่ร้ายป้ายสี แทบทั้งสิ้น ไม่ได้นำความจริงมาพูดอย่างตรงไปตรงมา การแอบอ้างว่า ให้ยกเลิกมาตรา 112 แล้วจึงจะพูดหรือวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นจริง ในเมื่อก็สามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมา หากเป็นข้อเท็จจริงและมีหลักฐานรองรับอย่างถูกต้อง

ยกตัวอย่าง เช่น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการทรงงานแบบเงียบ ไม่โปรดให้ประชาสัมพันธ์ ไม่โปรดให้เป็นข่าว เรื่องนี้เป็นพระนิสัยส่วนพระองค์ แต่การที่ทรงทำเช่นนี้เป็นการไม่ถูกต้อง เพราะคนที่จ้องจะใส่ร้ายสถาบัน โพนทะนา โฆษณา ทำสงครามไซเบอร์ล้มเจ้าไม่หยุดหย่อน การนิ่งเฉยจะกลายเป็นการยอมรับ หากพระองค์ท่านจะเลือกทรงงานแบบเดิม ไม่โปรดให้ประชาสัมพันธ์เลยจะเป็นเรื่องแย่ ต้องปรับพระองค์ ยอมให้ประชาสัมพันธ์ ลดความเป็นส่วนพระองค์ลงบ้าง เพื่อไม่ให้ทรงถูกใส่ร้ายป้ายสีมากจนทำให้บ้านเมืองและสถาบันสั่นคลอน ผมมีความเห็นและวิเคราะห์ว่าทรงปรับพระองค์เองในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และกำลังทรงพยายามอยู่ ขอกราบบังคมทูล ถวายกำลังพระทัย

สิบเอ็ด สถาบันพระมหากษัตริย์มีการปรับตัวเองมาตลอดเวลา ในทุกยุคทุกสมัย แต่ขบวนการล้มเจ้าในประเทศไทยก็มีมาต่อเนื่องนับแต่รัชกาลที่ 6 ปฏิวัติ 2475 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และนักการเมืองล้มเจ้า

สิบสอง พวกที่เรียกร้องเรื่องให้ยกเลิกมาตรา 112 นี้ ล้วนแต่ปากว่าตาขยิบ มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะตนเองกระทำผิดมาตรา 112 หรือสนับสนุนผู้คิดล้มเจ้า แต่กลับมาเรียกร้องให้ยกเลิก มาตรา 112 คนมีผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นนี้ น้ำหนักคำพูดไม่มีเลย ทำเพื่อให้ตัวเองรอด หรือทำเพื่อให้พวกตัวเองรอด ไม่ได้กระทำโดยบริสุทธิ์ใจ อย่าให้น้ำหนักให้มากนัก

สิบสาม หากมิได้หมิ่นประมาทหรืออาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ จะต้องเดือดร้อน กินปูนร้อนท้องไปทำไมเล่า การบังคับใช้มาตรา 112 ส่งผลดีต่อสังคมมากกว่าผลเสีย ในปัจจุบันที่เห็นชัดเจนก็พบว่า มีการกระทำความผิดชัดแจ้ง ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งไม่เป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมายแต่อย่างใดเลย

ข้าพเจ้า ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ขอสนับสนุน การบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และต่อต้านการยกเลิกใช้กฎหมายดังกล่าว

ภาพ นายอัษฎางค์ ยมนาค จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหัวข้อ

“อิสรภาพแบบไหนที่คอยทำตามคำสั่งใครบางคน”

เนื้อหาระบุว่า เมื่อเช้าตรู่ตื่นมาดู Star wars the mandalorian มีอยู่ซีนหนึ่ง ตัวแสดงพูดว่า

Everybody thinks they want freedom,

but what they really want is order.

ทุกคนคิดว่าพวกเขาต้องการ “อิสรภาพ”

แต่ความจริงที่พวกเขาต้องการคือ “คำสั่ง”

มันช่างตรงกันบุคลิกของม็อบคณะทรราษฎร์เลยทีเดียว

อ้างว่า เป็นม็อบเรียกร้องอิสรภาพที่ไร้ผู้นำ

แต่ความจริงพวกเขามีผู้นำ

และคณะผู้นำม็อบของเขา

รอรับคำสั่ง

และทำตามคำสั่ง

ทุกคนคิดว่า พวกเขาต้องการอิสรภาพ

ทั้งที่ความจริงพวกเขาทำตามคำสั่ง (เท่านั้น)

อิสรภาพคือ ไม่ขึ้นกับใคร

คนต้องการอิสรภาพแบบไหน ทำอะไรตามคำสั่งของใครบางคนตลอดเวลา

ย้อนแย้ง แหกตา

ถึงเวลาเบิกเนตร

แน่นอน, นับวันม็อบคณะราษฎร 2563 ยิ่งทำให้คนไทยรู้เช่นเห็นชาติมากขึ้นทุกวัน และที่สำคัญในขบวนการของพวกเขาเอง ก็กำลังมีปัญหาอย่างหนัก จนเมื่อไม่นานมานี้ มีการประกาศยุติบทบาทการ์ดทุกกลุ่มไปแล้ว โดยอ้างจะจ้างมืออาชีพมาแทน อีกทั้งมีการแฉความไม่ชอบมาพากลกับผลประโยชน์เกี่ยวกับการ์ดอีกมากมาย

นอกจากนี้ ทิศทางการต่อสู้ที่ชูธง “ปฏิรูปสถาบัน” ก็เละเทะ เบี่ยงเบนไปทั่ว หลังจากถูกจับผิดความพยายาม “ล้มเจ้า” คือ เป้าหมายแท้จริง ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไม่ยอม และยากที่จะไปต่อ

แต่ทว่า การกระทำที่ผ่านมานั้น หลายเหตุการณ์ หลายการกระทำ เข้าข่ายความผิดหลายมาตรา และถูกดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่กำลังกลายเป็นบ่วงรัดคอแกนนำอยู่ในเวลานี้

จึงไม่แปลกที่การเรียกร้องยกเลิก ม.112 และหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็นใหญ่ รวมทั้งขยายผลไปสู่การเรียกร้องความหนุนช่วยจากระดับนานาชาติและสากล

ดังนั้น ประเด็นก็อย่างที่ ดร.อานนท์ อธิบายอย่างละเอียดเป็นวิทยาทานกับผู้ยังไม่รู้แจ้งรู้ชัด และคนที่แกล้งโง่ ก็ให้รู้ด้วยว่า มีคนรู้ทัน

เหนืออื่นใด “อีแอบ” ที่แอบจนเขารู้กันหมดว่า ใครเป็นใคร ใครอยู่ที่ไหนทำอะไร ก็ไม่รู้จะแอบไปทำไม อย่างที่ “ท่านใหม่” ท้าทายออกมาจากกระโปรงเด็ก วันนี้ถ้าอยากสู้เรื่องนี้จริงๆ คนไทยก็พร้อมที่จะรับฟัง และแลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมา ว่า คนไทยไม่ยอมให้ “ล้มเจ้า” และอาจมีจำนวนมากกว่าคนที่ไปม็อบในเวลานี้ แล้วกล้ามั้ย ถ้ากล้าก็จบเท่านั้นเอง

ส่วนจบอย่างไร ให้คนไทยส่วนใหญ่เป็นคนบอกก็แล้วกัน อย่าบอกเอง พูดเอง เออเอง ว่าจบที่รุ่นเรา!?


กำลังโหลดความคิดเห็น