UN หัวร้อน “ดร.อานนท์” แซะเจ็บ ศักดินาซดไวน์ ไพร่ไปม็อบ “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ประกาศคนหาย “อีแอบ-บ่าง” เงียบกริบ ลูกชาวบ้านรับเคราะห์ “แก้วสรร” ไขทุกปัญหา ตอบสุดติ่ง ประเด็นมาเสือกหนักใจ ม.112 ด้วยทำไม
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (19 ธ.ค. 63) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์รูปภาพ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นพ.เหวง โตจิราการ และ นายสุธรรม แสงประทุม พร้อมข้อความประกอบว่า
“ศักดินาดื่มไวน์ ไพร่ไปม็อบปลดแอก” (จากไทยโพสต์)
ขณะเดียวกัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์หัวข้อ “112 กฎหมายศักดิ์สิทธิ์”
โดยระบุว่า “แกนนำม็อบเริ่มทยอยไปรายงานตัวกับตำรวจ กำลังเดินหน้าสู่กระบวนการยุติธรรม เลยทำให้เกิดละคร ดรามาหน้าโรงพักบ้าง
ความจริงก่อนถึงวันนี้ มีเสียงเตือนกันมาโดยตลอด ห้ามก็ไม่เชื่อ ว่า สถาบันไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมือง อ้างแต่ประชาธิปไตย อ้างแต่เสรีภาพ ทุกสังคมทุกประเทศต้องมีกฎหมายในลักษณะห้าม ไม่ใช่อ้างเสรีภาพ แต่คุกคาม ให้ร้ายสถาบัน จำไว้ ทุกประเทศต่างมีกฎหมายปกป้องคุ้มครองประมุขของประเทศ ไม่ใช่มีเฉพาะประเทศไทย
จำใส่สมองไว้ ที่ประเทศไทยเป็นอยู่นี้ ฝีมือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งล้วนๆ ที่ไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ แต่รุมแทะประเทศด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน
เวลาอย่างนี้ บรรดาอีแอบ บรรดาคนที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศเงียบหมด อีบ่าง ที่ยุให้เด็กปฏิรูปสถาบัน ม.112 เป็นกฎหมายปิดปาก ล้าหลัง หายหัวหมด
โบราณสอนว่า ให้คิดก่อนพูด ส่วนภาษากฎหมายบอกว่า กรรม (พูดและแสดงออก) เป็นเครื่องชี้เจตนา ชะตากรรมของบรรดาแกนนำม็อบจะเป็นอย่างไร ศาลสถิตยุติธรรมจะเป็นผู้ตัดสิน”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ โพสต์หัวข้อ “ดูการบิดเบือนให้เต็มตา!!!”
เนื้อหาระบุว่า “คุณป้าคนนี้ เป็นแค่โฆษกองค์กรสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นหน่วยงานต่างหาก แต่อยู่ในสังกัดของสหประชาชาติ
แต่บิดเบือนพาดหัวข่าวเป็นว่า
สหประชาชาติ แสดงท่าทีเกี่ยวกับการดำเนินคดี กับผู้กระทำความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์!!!!
และแอบอ้างความคิดเห็นตัวเองเป็นความคิดเห็นของสหประชาชาติด้วย!
น่าสังเกตว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่?
แต่สบายใจได้ครับ ประเทศไทยเราไม่มีใครทำหน้าที่ในเรื่องนี้!!!!”
ด้าน นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง “มาตรา 112 ในเวทีสากล” ผ่าน www.thaipost.net โดยมีเนื้อหาดังนี้
“เรารู้สึกหนักใจอย่างยิ่งกับการดำเนินการโดยทางการไทย ที่ตั้งข้อหาผู้ประท้วงอย่างน้อย 35 คน ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงผู้ประท้วงที่เป็นนักเรียนอายุ 16 ปี ภายใต้มาตรา 112 ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย” แถลงการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ 18 ธันวาคม
ถาม กฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เอาผิดผู้ที่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ในหลวง มันขัดสิทธิมนุษยชนที่ตรงไหนครับ UN มาเสือกหนักใจด้วยทำไม
ตอบ ความผิดพวกนี้มันกระทำต่อศักดิ์ศรีของบุคคลโดยตรง แม้ไม่มี ม.112 ก็เป็นผิดอยู่แล้ว แต่เป็นความผิดต่อส่วนตัวที่ผู้เสียหายต้องเริ่มคดีโดยร้องทุกข์หรือจะฟ้องเองก็ได้ ถ้าผู้เสียหายอยู่เฉยๆ ไม่ว่าอะไร รัฐจะไม่เข้าไปยุ่งด้วย
มาในกรณีของสถาบันกษัตริย์นั้น เราเอามาบัญญัติเป็นความผิดตามมาตรา 112 ก็เพื่อจะได้ถือเป็นความผิดต่อความมั่นคง ที่ตำรวจอัยการดำเนินคดีได้เลย ไม่ต้องให้ในหลวงมาแจ้งความ
ถาม ทำไมรัฐต้องมาเสียหายแทนในหลวงด้วย
ตอบ สถาบันประมุข ถือเป็น “ที่รวม” ของชาติ ควรอยู่เหนือคดีความทั้งปวง ในทางการบริหารราชการ ก็มีผู้สนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบถูกฟ้องร้องได้ ในทางการจัดการทรัพย์สินก็มีสำนักงานทรัพย์สินทำธุรกรรมต่างๆ เกิดมีปัญหาอะไรก็ฟ้องร้องเป็นคดีกันได้ ในหลวงไม่เกี่ยว ส่วนเนื้อตัวร่างกายชื่อเสียงนั้น ใครไปทำผิดต่อในหลวง รัฐก็เป็นผู้เสียหายดำเนินคดีเองไม่ใช่ให้ในหลวงไปแจ้งความ
ถ้าเข้าใจการจัดวางทางกฎหมายให้สถาบัน มีสถานภาพพ้นจากคดีความทั้งปวงเช่นนี้แล้ว มาตรา 112 จึงไม่ใช่อภิสิทธิ์ที่ให้แก่ “คน” ที่ชื่อ ภูมิพล หรือวชิราลงกรณ แต่เป็นการจัดการให้ “สถาบันประมุข” อยู่เหนือความขัดแย้งใดๆ เป็นสำคัญ
ถาม ที่ว่า “เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ก็หมายถึงตรงนี้ ตรงที่การจัดวางทางกฎหมายให้อยู่เหนือความขัดแย้งใดๆ นั่นเอง
ตอบ ถูกต้องครับ มันไม่ใช่เรื่องเราไปออกกฎหมายกดหัวให้ผู้คนต้องเคารพคนเป็นๆ ที่อยู่ในตำแหน่งในหลวงแต่อย่างใด แต่พอไปใช้คำพูดว่า มีความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มันก็เลยเข้าใจผิดกันไป เช่นทุกวันนี้
ถาม แล้วฝรั่ง UN มาเสือกเป็นห่วงอะไรที่ตรงไหน
ตอบ คือ โดยทฤษฎีสิทธิมนุษยชนนั้น คนเราเกิดมาแล้ว จะคิดเห็นอย่างไรนั้น มันต้องเป็นอิสระบังคับกันไม่ได้ ลำพังแค่ความคิด จึงเอาผิดกันไม่ได้ จะผิดมันต้องผิดที่การกระทำไม่ใช่ผิดที่ความคิด
สิทธิข้างต้นคือสิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน ที่รัฐไทยก็ถูกผูกพันให้ต้องเคารพด้วยเช่นกัน พอ UN เขาเห็นอาทิตย์เดียวโดนมาตรา 112 ถึง 35 คน มีเด็ก 16 ขวบรวมอยู่ด้วย เขาก็ต้องแสดงความหนักใจได้เป็นธรรมดา
ถาม มันจะอกแตกตายหรืออย่างไร
ตอบ มาตรา 112 ต้องใช้เอาผิดตรงที่มีการกระทำชั่วฐานปากหมาเกิดขึ้นแล้ว ลำพังแค่เยาวชนปลดแอกขึ้นเวที ประกาศว่า สถาบันกษัตริย์พ้นสมัยแล้ว อย่างนี้มันยังไม่ผิดอะไร แต่ถ้าไปจาบจ้วงว่า เป็น “ขยะสังคม” อย่างนี้ก็ปากหมาแล้ว ผิดแล้ว ตั้งข้อหาได้ จับกุมได้ เด็กอายุ 16 ปี ก็จับได้ จะขึ้นศาลผู้ใหญ่หรือไม่ ลดโทษหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถาม หมายความว่า คดี 112 แต่ละคดี ตำรวจต้องตรวจสอบและมีหลักฐานยืนยันได้จริงๆ ว่า มีพฤติการณ์ “ปากหมา” คือดูหมิ่น ใส่ความ เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
ตอบ ถูกต้องครับ ต้องให้ชัดจริงๆ ว่า ไม่ได้เอาผิดผู้ใดตรงความคิด ตรงที่ไม่เคารพในหลวงเท่านั้น หากแต่มีการกระทำผิดทางวาจา ที่ละเมิดศักดิ์ศรีของคนบนบัลลังก์เกิดขึ้นแล้วจริงๆ อย่างนั้นอย่างนี้
ทุกคดีทั้งตำรวจ อัยการ และศาล ต้องยืนยันให้ได้อย่างนี้ ว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ใช้วาจาละเมิดศักดิ์ศรีของคนคนหนึ่งที่เป็นกษัตริย์ไว้อย่างไรบ้าง
ถาม ระดับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน UN มีแถลงการณ์ออกมาอย่างนี้ เราควรทำอย่างไรหรือไม่
ตอบ เรื่อง 112 นี่ บิ๊กตู่ต้องเลิกอมสากได้แล้ว ต้องยืนยันชัดเจนออกมาว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ได้สั่งตำรวจไปแล้วว่า มีหน้าที่ทำตามกฎหมายทุกมาตรา เรื่อง 112 นี่ถ้าชัดเจนว่าไม่ใช่แค่ไม่เคารพ หากแต่ถึงขั้นดูหมิ่นหรือใส่ความด้วย ก็ให้ดำเนินคดีทุกราย
ท่านต้องตื่น ต้องขืนแรงดึงดูดของโลกยืนตรงขึ้นมาพูดให้ชัดไปเลยว่า นี่เป็นเรื่องของกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นความรับผิดชอบที่ผมจะต้องกำกับดูแล ถูกผิดอย่างไร ในหลวงไม่เกี่ยว ผมเกี่ยวคนเดียว
ถาม แล้วใครจะเป็นคนตรวจสำนวนสอบสวนให้รัดกุมถูกต้อง
ตอบ เป็นเรื่องตำรวจ กับอัยการ ต้องโผล่มายืนยันหลักกฎหมายให้ชัดเจนอีกกระแสหนึ่งว่า ใช้ 112 กับกรณีปากหมาชัดเจนเท่านั้น
จากนั้น กระทรวงต่างประเทศ ก็ออกเอกสารสรุปชี้แจงระดับสากลอีกรอบหนึ่งว่า คดี 112 ชุด 2563 นี้ เราไม่ได้ล่าแม่มดมาเผาไฟ
ถ้าทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เข้าใจและมั่นใจใน 112 จนเลิกอมสากได้อย่างนี้ สถาบันก็เซฟ ปัญหาก็จบครับ.”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 63 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ที่นครเจนีวา เมื่อวันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม แสดงความกังวลที่เจ้าหน้าที่ทางการไทยใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพดำเนินคดีกับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหลายคน ซึ่งรวมถึงเยาวชนอายุ 16 ปี
“เรารู้สึกหนักใจอย่างยิ่งกับการดำเนินการโดยทางการไทย ที่ตั้งข้อหาผู้ประท้วงอย่างน้อย 35 คนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงผู้ประท้วงที่เป็นนักเรียนอายุ 16 ปี ภายใต้มาตรา 112 ที่เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย” คำแถลงของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็นกล่าว
ด้าน ราวีนา ชัมดาซานี โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็น กล่าวว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท, ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อราชวงศ์มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี “เราตกใจอย่างยิ่งที่ผู้ประท้วงอายุ 16 ปี ถูกตำรวจนำตัวส่งศาลเยาวชนเมื่อวานนี้เพื่อขอคำสั่งฝากขัง” โฆษกหญิงผู้นี้กล่าว อย่างไรก็ดี ศาลปฏิเสธและอนุญาตให้ประกันตัว
ชัมดาซานี ให้ข้อสังเกตด้วยว่า คณะกรรมาธิการสิทธิฯเคยร้องขอทางไทยหลายครั้งให้ตรากฎหมายโดยสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ แต่น่าผิดหวังอย่างยิ่งที่หลังจากผ่านมา 2 ปี โดยไม่มีคดีใดๆ จู่ๆ เราก็ได้พบเห็นคดีจำนวนมาก และน่าตกใจที่ตอนนี้ยังมีการดำเนินคดีกับผู้เยาว์ด้วย
เธอกล่าวอีกว่า คณะกรรมาธิการสิทธิฯของยูเอ็น ยังมีความห่วงกังวลเรื่องการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาร้ายแรงอื่นๆ กับผู้ประท้วงที่เข้าร่วมการประท้วงอย่างสันติในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
“เราเรียกร้องรัฐบาลไทย หยุดการใช้ข้อหาคดีอาญาร้ายแรงเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับบุคคลที่ใช้สิทธิเสรีภาพของพวกเขาในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมอย่างสงบ เรายังเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และทำให้กฎหมายนี้สอดคล้องกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น”
แน่นอน, ประเด็นก็คือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ของ UN ได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนหรือไม่ ในประเด็นของ การเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทย คือ อะไร มีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ คนไทยส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับประชาธิปไตยไทย ซึ่งมีต่อท้ายด้วยว่า “มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
UN เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วหรือยัง หรือฟังข้อมูลด้านเดียว จากฝ่ายที่อ้างเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ที่คนไทยรับรู้อย่างชัดเจนแล้วในเวลานี้คือ ต้องการ “ล้มสถาบัน” โดยอ้าง “ปฏิรูปสถาบัน” เพราะเป็นบันไดขั้นแรก? เรื่องนี้เห็นได้ชัด จากกรณีทำผิดกฎหมายมาตรา 112 จำนวนมากนั่นเอง เนื่องเพราะกฎหมายฉบับนี้มีความชัดเจนในเรื่องปกป้องการหมิ่นเบื้องสูง ส่วนหมิ่นอย่างไร อาจารย์แก้วสรร ก็นำเสนอเอาไว้ชัดเจน
ถ้า UN รับข้อมูลแต่เฉพาะที่ฝ่ายม็อบร้องเรียน หรือ ผู้ลี้ภัยล้มเจ้า ร้องเรียน ฟังข้อมูลด้านเดียว แล้วออกแถลงการณ์ที่ดูแล้ว ออกไปในทางลบต่อประเทศไทย โดยไม่ฟังเสียงคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างนี้แล้ว อย่าลืมว่า นายทักษิณ ชินวัตร ก็เคยพูดว่า “UN ไม่ใช่พ่อ” เพียงแต่ต่างกรรมต่างวาระเท่านั้นเอง
อีกอย่าง สิ่งที่ อาจารย์แก้วสรร นำเสนอเอาไว้ ถือว่าชัดเจนที่สุด ทั้งในแง่ของตัวบทกฎหมาย การตีความกฎหมาย รวมทั้งการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนกระทั่งมีคำตัดสินของศาล ผิดคือ ผิด ไม่ผิดก็คือ ไม่ผิด อยู่ที่พยานหลักฐาน มิใช่คิดจะตัดสินอย่างไรก็ตัดสิน
ถ้า UN จะยึดแนวทางว่า ตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ใครที่อ้างว่า เรียกร้องประชาธิปไตย ก็จะต้องเข้าข้างเอาไว้ก่อน ถือว่า ผิดต่อจรรยาบรรณอย่างยิ่ง และการด่วนสรุปของ UN ก็คงไม่เป็นธรรมกับรัฐบาลและประเทศไทยด้วย
ปัญหาเรื่องนี้แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องของคนไทยอย่างแท้จริง เป็นเรื่องที่คนไทยจะตัดสินใจเลือกอะไร ระหว่าง “ไม่เอาเจ้า” กับ “เอาเจ้า” แต่บางฝ่ายอาศัยแอบอ้างว่าตัวเอง เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งก็เป็นประชาธิปไตย ทั้งสองฝ่าย ใช้ตัวช่วยจากต่างชาติที่พร้อมหนุนหลัง รวมถึงองค์กรต่างประเทศ
แค่นี้ก็รู้แล้วว่า “ชักศึกเข้าบ้าน” คืออะไร วันนี้เป็นไปตามความคาดหมายของ “กูรู” หลายคน อย่างไม่ผิดเพี้ยน น่าเศร้าใจก็ตรงที่ คนไทยบางส่วนเป็นคนทำลายประเทศของตัวเอง หรือว่า ชอบให้มีการแทรกแซง!?