เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาตามสถานการณ์ล่าสุด วันที่ 24 ธันวาคม จะเห็นว่าเริ่มมีสัญญาณบวกมากขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยที่เห็นในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ที่ถือว่าเป็น “แหล่งระบาดรอบใหม่” ก็มีรายงานผู้ป่วยผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอัตราที่ลดลงมาแล้ว แม้ว่าหากแยกพิจารณาในแง่ของผู้ติดเชื้อในประเทศที่มีการแถลงจาก นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จะพบว่ามีผู้ติดเชื้อรวม 58 ราย และเป็นผู้ติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาคร 55 รายก็ตาม ก็ต้องขอร้องให้บรรดาพวกนักการเมืองทั้งหลาย ให้ช่วยกับ “หุบปาก” ลงเสียบ้าง ขอร้องว่าอย่าพยายามแสดงความเห็นอะไรออกมาเลยเป็นดีที่สุด และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คืออย่าแสดงความเห็นออกมาในลักษณะ “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” อย่างเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน ทาง ศบค.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ก็ได้ประกาศแบ่ง 4 พื้นที่ควบคุมโควิด โดยแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. พื้นที่ควบคุมสูงสุด คือ พื้นที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก 2. พื้นที่ควบคุม คือ พื้นที่ที่อยู่ติดกับพื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือพื้นที่มีผู้ติดเชื้อ และมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 3. พื้นที่เฝ้าระวังสูง คือ พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อไม่เกิน10 ราย แต่มีแนวโน้มสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และ 4. พื้นที่เฝ้าระวัง คือ พื้นที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ และยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีผู้ติดเชื้อ
สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดซึ่งขณะนี้มีอยู่จังหวัดเดียว คือ สมุทรสาคร นั้น ให้มีการจำกัดเวลาปิด-เปิด สถานประกอบการที่มีความจำเป็น ปิดสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ห้ามแรงงานต่างด้าวเคลื่อนย้ายเข้า-ออกจากพื้นที่โดยเด็ดขาด ควบคุมการเข้า-ออกของยานพาหนะและบุคคลคนไทย โดยไม่ให้กระทบการค้าและอุตสาหกรรมมากเกินจำเป็น ให้มีการจัดตั้งด่านตรวจคัดกรอง จุดสกัดและสายตรวจ เพื่อให้มีการควบคุมการเข้าออกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้มาตรการทำงานจากที่บ้าน อย่างเต็มขีดความสามารถ
สำหรับจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ควบคุม ซึ่งเป็นจังหวัดอยู่ติดกับพื้นที่ควบคุมสูงสุด ได้แก่ จ.สมุทรสงคราม ราชบุรี นครปฐม กทม. (เฉพาะฝั่งตะวันตก)
เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อในรอบใหม่นี้ จะมีมากกว่าครั้งแรกหลายเท่า โดยเฉพาะที่น่ากังวลก็คือ เป็นการระบาดในกลุ่มแรงงานต่างด้าว ซึ่งน่าจะเริ่มจากกลุ่มแรงงานที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายก็ตาม แต่ถึงอย่างไรมาตรการในการรับมือของระบบสาธารณสุขไทย ก็ถือว่าอยู่ในขั้น “ระดับโลก” ที่สำคัญในเวลานี้การเตรียมความพร้อมในการรับมือ ยังทำได้ดีกว่าในช่วงการระบาดรอบแรกหลายเท่า ทั้งเรื่องบุคลากร และอุปกรณ์ และที่สำคัญ “ความตื่นตระหนก” ยังมีน้อยกว่าครั้งก่อน ที่เราไม่เคยเจอลักษณะของโรคติดต่อร้ายแรงมาก่อน ลักษณะจึงออกมาในแบบ “โกลาหล” แต่คราวนี้มีแต่เสียงบ่น เสียงด่าว่าจะต้องกลับไป “คุมเข้ม” ไม่สะดวกกันอีกเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรสำหรับคนไทยแล้วเชื่อว่า “มีความตื่นตัว” ในการป้องกันโรคในระดับสูงอยู่แล้ว คนไทยไม่มีปัญหาในเรื่องการ “สวมหน้ากากอนามัย” เหมือนกับพวกฝรั่งตะวันตก ทำให้การระบาดในช่วงที่ผ่านมา สามารถควบคุมโรคได้ดี เพียงแต่ว่ามา “พลาด” เอาที่แรงงานต่างด้าวจากเพื่อนบ้านบางประเทศ “ตีแตก” เข้ามาพร้อมๆ กับคนไทยที่น่าจะเป็น “ขบวนการค้าแรงงานเถื่อน” ที่ต้องมีข้าราชการเข้าไปมีเอี่ยวแน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องจัดการให้สิ้นซาก ก็ว่ากันไป
แต่แม้ว่าการควบคุมการแพร่ระบาดในรอบใหม่ยังเป็นเรื่องยาก และมีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อพิจารณาจากความพร้อมทั้งคนไทย และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์จากการรับมือจากการระบาดครั้งแรกมาแล้ว ก็พออุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง และเชื่อว่ายังมีแนวโน้มในทางบวก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคนไทยด้วยกันเองว่าจะเลือกแบบไหน
นั่นคือ ร่วมมือกัน ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญ “การ์ดห้ามตก” เด็ดขาด เหมือนกับที่เราเคยท่องเอาไว้ “สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง” รับรองว่า “เอาอยู่แน่นอน”
ขณะเดียวกัน ก็ต้องขอร้องให้บรรดาพวกนักการเมืองทั้งหลายให้ช่วยกัน “หุบปาก” ลงเสียบ้าง ขอร้องว่าอย่าพยายามแสดงความเห็นอะไรออกมาเลยเป็นดีที่สุด และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ อย่าแสดงความเห็นออกมาในลักษณะ “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” อย่างเด็ดขาด ซึ่งการอยู่เฉยๆ เป็นการช่วยชาติที่ดีที่สุดนั่นแหละ !!