เมืองไทย 360 องศา
ออกอาการดิ้นพล่านกันเลยทีเดียว หลังจากทางการบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ว่าด้วยเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หมิ่นประมาท “จาบจ้วง” พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี และพระราชวงศ์ ถึงขนาดเรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ ที่มีหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนกดดันให้รัฐบาลไทยยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นการขัดขวาง หรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ขณะเดียวกัน คนพวกนี้พยายามสื่อให้สังคมทั้งในและต่างประเทศได้เห็นว่า ประเทศไทยที่ยังบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่ต่างจากประเทศเผด็จการล้าหลัง ไม่พัฒนาเท่าทันสังคมโลกที่อารยะ อะไรประมาณนั้น อีกทั้งบางคนยังเน้นย้ำให้เห็นว่าพวกเขาต้องเดือดร้อนจากการมีกฎหมายแบบนี้ บางคนไปไกลถึงขนาดอ้างว่าทำให้ “ครอบครัวแตกแยก” บ้านแตกสาแหรกขาด พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกไปอีกทาง ก็ล้วนมีสาเหตุจากการใช้กฎหมายฉบับนี้
เอาเป็นว่าในสายของคนพวกนี้ การคงอยู่หรือการบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเรื่องไม่ดี ขัดขวางเสรีภาพ เป็นเผด็จการ เป็นกฎหมายที่ใช้กลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม หรือกำจัดคนที่เห็นต่าง เนื่องจากมีผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีคนหนึ่ง เป็นเยาวชนอายุ 16 ปี จึงหยิบยกเป็นข้ออ้างไม่เป็นอารยะ สวนทางกับสังคมโลก เป็นต้น
ทำราวกับว่าใครที่เข้าร่วมชุมนุมก็จะถูกขัดขวางเสรีภาพ มีความผิดตาม มาตรา 112 ไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์ใครได้เลยในประเทศนี้ และจะถูกลงโทษตามความผิดที่มีอัตราโทษ ระหว่าง 3-15 ปีเลยทีเดียว ซึ่งมีคำถามต่อมา ก็คือ แล้วมันจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ในความหมายที่ว่าใครก็ตามที่นอนอยู่บ้านเฉยๆ แล้วถูกพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อหาทำผิด มาตรา 112 อย่างนั้นหรือเปล่า ถูกยัดเยียดความผิด หรือแบบเหวี่ยงแหกระนั้นหรือ ก็ไม่น่าจะใช่
ดังนั้น ก็ต้องถามต่อไปว่า ทุกอย่าง ทุกคดี มันย่อมต้องมีสาเหตุและมีที่มาที่ไปใช่หรือไม่ และใครบ้างที่จะต้องโดนข้อหาความผิดตาม มาตรา 112 เท่าที่ทราบที่โดนกันแบบ “เบิ้มๆ” ก็มีแกนนำม็อบ “สามนิ้ว” เท่าที่พอขานชื่อบ่อยๆ ก็มี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” และ นายอานนท์ นำภา เป็นต้น
คนพวกนี้โดนข้อหาตาม มาตรา 112 ไปแล้วรายละไม่ต่ำกว่า 20 คดี นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องเดียว แต่ต่างกรรมต่างวาระทั่วประเทศ ยังไม่นับคดีอาญาอื่นๆ อีกนับร้อยคดี ซึ่งถือว่าสะสมคดีแบบทะลุเพดาน หากพูดให้ภูมิใจก็ต้องบอกว่าได้ทำลายสถิติแกนนำม็อบทุกรุ่น ทุกสี ไปแบบไม่เห็นฝุ่น
ถามว่าจู่ๆ ตำรวจบ้องตื้นส่งหมายเรียกให้คนพวกนี้มารับทราบข้อหาความผิดตาม มาตรา 112 อย่างนั้นหรือ เป็นการเหวี่ยงแหแบบไม่มีที่มาที่ไปอย่างนั้นหรือไม่ ก็ไม่น่าจะใช่
หากใครลองได้ฟังคำพูดบนเวทีชุมนุม หรือคำพูดตามสถานที่หลายแห่งก็จะพบว่าพวกเขากล่าวโจมตีพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ในแบบที่ไม่เคยไม่มีใครเคยพูดแบบนี้มาก่อน มีการใช้คำพูดกล่าวหาที่ “หยาบคาย” เลยความหมาย “จาบจ้วง” ซึ่งหลายครั้งก็นำมากล่าวในภายหลังด้วยความภาคภูมิใจว่า สามารถทลายกำแพง “ความกลัว” ทำให้คนในสังคมมีการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างเปิดเผย เป็นต้น
และอย่าได้แปลกใจที่คนพวกนี้จะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าวนับสิบๆ คดีในทั่วประเทศ ต่างกรรมต่างวาระ เพราะหากไม่ดำเนินการเจ้าหน้าที่ก็มีความผิดฐานละเว้นฯ และนำมาสู่เสียงโวยวายตามมาว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” ถูกขัดขวางเสรีภาพในการแสดงความเห็น อะไรประมาณนี้ ทั้งที่การแสดงเสรีภาพสามารถทำได้ตามสิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมายทั่วไป รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง การกล่าวหาผู้นำรัฐบาล รัฐมนตรี นักการเมือง สามรถทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าห้ามหมิ่นประมาทเท่านั้นเอง เพราะทุกคนก็ย่อมได้รับการคุ้มครอง การวิพากษ์วิจารณ์สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่การ “ด่าทอ” ด้วยถ้อยคำหยาบคาย และกล่าวหาใส่ร้ายด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ
ขณะที่ พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์พระประมุข ย่อมต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งก็ไม่ต่างจากต่างประเทศ ที่ได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกัน และในข้อเท็จจริงการวิพากษ์วิจารณ์ในทางวิชาการก็ยังสามารถทำได้ แต่ไม่ใช่การใช้คำหยาบคาย และให้ร้ายด้วยความเท็จแบบที่แกนนำม็อบสามนิ้วกำลังทำอยู่
และก็เกือบตกหล่นไปกับรายชื่อที่ถูกดำเนินคดีอาญาตาม มาตรา 112 นอกจากแกนนำม็อบสามนิ้วที่คุ้นเคยดังกล่าวแล้ว ยังมีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า ที่ถูกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาอีกด้วย
แม้ว่าในเส้นทางทางคดียังอีกยาวไกล กว่าจะมีการสรุปในชั้นศาล แต่เมื่อพิจารณาจากหลักฐานทั้งคำพูด และการเคลื่อนไหวที่ผ่านๆ มา ก็น่าจะมีความชัดเจน มีความเสี่ยงคุกสูงยิ่ง และเมื่อรวมกันแล้วหลายคดี มันก็ยิ่งเสี่ยงคุกแบบทวีคูณ ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่คนพวกนี้ พยายามเคลื่อนไหวเบี่ยงเบนไปอีกทางเพื่อให้ยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายนี้ ก็เพื่อหนีความผิด แบบ “ปากกล้าขาสั่น” นั่นเอง ขณะที่ชาวบ้านทั่วไป ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนกับการมีกฎหมายฉบับนี้ !!