เมืองไทย 360 องศา
กำลังเคลื่อนไหวสร้างกิจกรรมกันอย่างต่อเนื่องแบบรายวัน สำหรับบรรดาแกนนำ หรือพวกที่ถูก “เชิด” ให้เป็นแกนนำของ “ม็อบสามนิ้ว” ที่กำลังถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระประมุข พระราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ ตามมาตรา 112 อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น ปิดกั้นเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เป็นต้น
แน่นอนว่าบรรดาแกนนำ “มีชื่อ” อย่างน้อยก็ต้องมี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นายอานนท์ นำภา น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” คนพวกนี้โดนคดีอาญาตามมาตราดังกล่าวหลายสิบคดี ต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งแต่ละคดีมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ลองบวกดูกันเอาเอง หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจะต้องโดนจำคุกคนละกี่ปี
ขณะเดียวกัน ก็อย่าได้แปลกใจที่คนพวกนี้และเครือข่ายกำลังเคลื่อนไหวในลักษณะ “ดิ้นรน” กันทุกทาง ทั้งในและต่างประเทศ ที่ล่าสุด ได้สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ออกมาแถลงแสดงความกังวลต่อการดำเนินคดีตาม มาตรา 112 กับผู้ชุมนุม โดยในจำนวนนั้นมีการดำเนินคดีกับเยาวชน อายุ16 ปี อีกด้วย
การเคลื่อนไหวของพวกเขาเหล่านี้ ทำราวกับว่า อยู่ๆ ตำรวจก็ส่งหมายเรียกไปที่บ้านให้มารับทราบข้อกล่าวหาดังกล่าวกันเป็นว่าเล่น หรือบางคนเดินบนถนนก็อาจถูกยัดเยียดความผิดโดยไม่เลือกเด็ก ผู้ใหญ่ เยาวชน อะไรประมาณนั้น แล้วทำไมต้องไปเจาะจงเอากับคนพวกนี้ ดูเหมือนไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย และที่สำคัญ หากเป็นการชุมนุม ก็เป็นการชุมนุมโดยสงบแท้ๆ เป็นการชุมนุมตามสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนารัฐกลั่นแกล้งกันหรือเปล่า หรือว่านี่คือ “ยุคมืด” เป็นยุคเผด็จการ เหมือนกับในอดีตที่คุกคามและกำจัดประชาชนฝ่ายตรงข้ามอะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างย่อมต้องมีที่มาที่ไป และสามารถอธิบายได้ กรณีที่เกิดขึ้นก็เช่นเดียวกัน หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ ซึ่งแม้ว่าหากจะกล่าวโทษ ก็ต้องโทษ “คนบงการ” อยู่ในเงามืด ที่ถือว่า “อำมหิต” ที่ให้ท้าย ยุยงให้เด็กๆ พวกนี้ออกมายืนอยู่แถวหน้า และต้องรับความผิด และมีอนาคตต้องเกี่ยวข้อกับคดีอาญาและแพ่งไปแทบจะตลอดชีวิตนั่นแหละ
เพราะเวลานี้จะเห็นภาพรายวันที่บรรดาแกนนำ “มีชื่อ” ดังกล่าว ต่างรับหมายเรียกและเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาสารพัดข้อหาตามสถานีตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศ แต่นั่นไม่เท่ากับการโดนคดีมาตรา 112 ที่มีโทษจำคุกสูง และมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งในชั้นสอบสวน ในชั้นอัยการ ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไป แม้ว่าที่ผ่านมาจะได้รับการปรานีจากศาลที่ได้รับการประกันตัว แต่ก็ถือว่าต้องลุ้นระทึกกันแทบจะรายวันแล้ว
เอาเป็นว่า นี่เป็นแค่ “เริ่มต้น” เท่านั้น เพราะส่วนใหญ่ยังอยู่ในชั้นสอบสวนของตำรวจ ยังไม่ไปถึงอัยการสั่งฟ้อง เป็นสเต็ปต่อไป และสุดท้าย ก็เข้าสู่การฟ้องศาล ซึ่งแต่ละคดีจะ “ลากกันยาว” ข้ามปี หากบางคนโดนคดีเป็นร้อยคดีก็ลองนึกดูก็แล้ว กันว่า จะ “เบิ้มๆ” แค่ไหน
หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำ “สามนิ้ว” ที่ออกมาในลักษณะ “โวยวายกลางตลาด” หาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และที่สำคัญก็คือ ถึงขั้นเคลื่อนไหวให้ “ยกเลิก มาตรา 112” ไปเลย ซึ่งก็ถูกย้อนกลับไปอย่างเจ็บแสบว่า “เมื่อกล้าทำ ก็ต้องกล้ารับ” เมื่อ “ก่อการไม่สำเร็จก็ต้องรับโทษทัณฑ์” ไปแล้วกัน
อย่างที่รับรู้กันก็คือ การเคลื่อนไหวของม็อบสารพัดชื่อ ที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” มีเจตนาที่เข้าข่าย “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” คำพูดที่สื่อออกมาอย่าง “หยาบคาย” กล่าวร้ายต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” แบบตรงๆ อย่างที่ไม่เคยปรากฏแบบนี้มาก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ บรรดาแกนนำก็ “ลำพอง” ว่า กระทำสำเร็จแล้วที่สามารถกล่าวถึง “พระมหากษัตริย์” ได้อย่างตรงๆ โดยถือว่าเป็นชัยชนะ และตัวเองทำได้สำเร็จ
ลักษณะของคำพูดไม่ใช่เป็นลักษณะการวิพากษ์วิจารณ์เชิงวิชาการ แต่เป็นลักษณะของการให้ร้าย ด่าทออย่างหยาบคาย ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ อย่าว่าแต่ความผิดต่อองค์พระประมุขของชาติที่ต้องได้รับการคุ้มครองเลย แค่บุคคลทั่วไปก็ถือว่ามีความผิดฐาน “หมิ่นประมาท” แล้ว และที่สำคัญทุกประเทศ ก็ย่อมต้องมีกฎหมายที่บัญญัติเอาไว้เพื่อปกป้องผู้นำ และประมุขของแต่ละประเทศ และล้วนมีบทลงโทษหนักทั้งสิ้น
แน่นอนว่า การที่บรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วกำลังถูกดำเนินคดีสารพัดข้อหา รวมไปถึงความผิดตาม มาตรา 112 ว่าด้วยเรื่องการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หลายสิบคดี ก็ต้องทำใจ และทุกคดีย่อมต้องมีที่มา จากพฤติกรรมและคำพูดของตัวเองทั้งสิ้น และนี่เป็นเพียงขั้นเริ่มต้น ยังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ยังไม่ไปถึงขั้นอัยการมากนัก รวมไปถึงการส่งฟ้องศาลที่ยังต้องอยู่กระบวนการอีกยาว อาจจะตลอดชีวิตของพวกเขาเลยก็ได้ หากโดนเป็นร้อยคดี
ขณะเดียวกัน สำหรับประชาชนทั่วไป ไม่มีใครเดือดร้อน เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้ “จาบจ้วง” ให้ร้ายใคร ก็ย่อมไม่ต้องถูกดำเนินคดี ไม่ต้องรับหมายเรียก สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ไม่รู้สึกว่า “เสรีภาพถูกลิดรอน” แต่อย่างใด ยังกินได้นอนหลับเหมือนเดิม ตรงกันข้ามกับพวกเคลื่อนไหวแบบ “เบิ้มๆ” ที่เริ่มไม่สนุก เพราะเวลานอกคุกเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว !!