เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าการระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ จะผ่านมาร่วมเดือนแล้ว สถานการณ์ก็ถือว่าอยู่ในระดับ “ทรงๆ” ไม่ถึงกับพุ่งปรี๊ด แต่ด้วยตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อวันละหลักกว่าสองร้อยเกือบแตะสามร้อยราย ก็ยังถือว่าน่าเป็นห่วงไม่น้อย อีกทั้งการระบาดรอบนี้เกิดในวงกว้างกว่าคราวที่แล้ว เนื่องจากรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ล็อกดาวน์เข้มงวดเหมือนกับครั้งก่อน
โดยคราวนี้ยังปล่อยให้ธุรกิจดำเนินการต่อไปได้ แม้ว่าจะมีความเข้มงวดและมีเงื่อนไขควบคุมก็ตาม แต่ก็ยังดีว่าไม่ได้ “ปิดตาย” แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ถึงอย่างไรเมื่อทุกอย่างไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติมันก็ย่อมเกิดความเสียหาย ได้รับความเดือดร้อนกันไปทุกคน ส่วนใครจะหนักกว่าใครนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง และที่สำคัญ การระบาดรอบนี้ก็น่าจะยืดเยื้อไปอีกนานหลายเดือน เพราะล่าสุด นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาให้ข้อมูลว่า จะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในระดับหลักร้อยสองร้อยคนต่อวันไปอีกประมาณสองสามเดือนนับจากนี้
แม้ว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อบ้านที่กำลังระบาดหนัก แต่ก็ถือว่าไม่น้อยเมื่อมีผู้ติดเชื้อเป็นหลักร้อยรายวัน เพราะนั่นยังหมายถึงโอกาสเสี่ยงที่จะแพร่ระบาดแบบทวีคูณเป็นไปได้สูงเหมือนกันหาก “การ์ดตก” เมื่อไหร่
อย่างไรก็ดี ในมุมน่ากลัวของเชื้อโควิด-19 ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนไทยในเวลานี้ อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เห็นอีกด้านเช่นเดียวกัน และที่สำคัญทำให้เกิด“แรงกระตุ้น”ให้เกิดการปฏิรูประบบราชการบางหน่วยงานได้อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะเป้าหมายไปที่ตำรวจ มหาดไทย รวมไปถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง เพราะคราวนี้ถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่ ที่หนักหน่วงและทำลายความหวังของคนไทยก่อนหน้านี้เศรษฐกิจกำลังจะเริ่มฟื้นตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นไป ต้องมาพังทลายลงไป
อย่างที่รับรู้กันว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดรอใหม่ก็คือมาจากการระบาดใน “บ่อนการพนัน” และจาก “แรงงานต่างด้าว” ข้ามแดนผิดกฎหมาย ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงระบบ “ส่วย” และขบวนการค้ามนุษย์ รวมๆ แล้วก็เชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน และหน่วยงานที่ถูกชี้หน้าต่อว่ามากที่สุดในเวลานี้ ก็คือ “ตำรวจ” และฝ่ายปกครอง ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย รวมไปถึงฝ่ายความมั่นคง
แต่หากพิจารณากันด้วยความเป็นธรรม ระบบส่วยบ่อนการพนัน และขบวนการค้ามนุษย์แรงงานเถื่อน พวกนี้มีมานานแล้ว หลายรัฐบาล ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ เพียงแต่บังเอิญว่ามันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ เป็นวงกว้าง จนทำให้คนไทยเดือดร้อน ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต้องเกิดความเสียหายยาวนานออกไปอีก
และที่น่าเจ็บปวดก็คือ “การตอบสนอง” ต่อความรู้สึกของสังคม ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือไม่ก็ไปอีกทางหนึ่งที่เป็นรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่ใช่ความต้องการ เช่น การโยกย้ายข้าราชการ และตามมาด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งชาวบ้านเริ่ม“ยี้”เพราะเข้าใจว่าเป็นเพียงการซื้อเวลา เหมือนกับทุกครั้งที่เกิดเหตุอื้อฉาวกับเรื่องแบบนี้ จนกระทั่งเรื่องเงียบ หรือชาวบ้านลืมไปแล้วก็ถูกโยกย้ายกลับมาใหม่ หรือเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น
เพราะสิ่งที่ชาวบ้านต้องการ และเรียกร้องมานานก็คือ “การปฏิรูป” และเป้าหมายหลักก็คือ “การปฏิรูปตำรวจ” ที่ถือว่าเป็นต้นทางหลักของกระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างมาตรฐานและหลักประกันให้กับชาวบ้านในเรื่องความยุติธรรม ป้องกันการถูกกลั่นแกล้ง ขณะเดียวกันก็สร้างหลักประกันในอาชีพให้กับข้าราชการตำรวจให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีความก้าวหน้าในวิชาชีพ
ที่ผ่านมา เคยมีการผลักดัน และมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษา หาข้อมูลมาหลายชุดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกอย่างก็เหลว หากให้เน้นย้ำกันแบบทบทวนความจำกันอีกครั้ง ก็ต้องบอกว่า ในยุคสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่ามีความใกล้เคียงมากที่สุด และประชาชนตั้งคามหวังเอาไว้มากที่สุด แต่แล้วในที่สุดก็เหลวตามเคย ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันยัง “ไม่มีสัญญาณ” ใดๆ ออกมาเลย
และเมื่อเกิดเหตุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เลือกที่จะใช้วิธีการแบบเดิม นั่นคือการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง รวมไปถึงฝ่ายความมั่นคงภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็สั่งกำชับให้มีการกวาดล้างขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวอย่างจริงจัง ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เลือกที่ใช้วิธีการเดิม นั่นคือ “เงียบ” จนน่าแปลกใจ ที่มีเรื่องราวมากมายในกระทรวงมหาดไทย แต่เจ้ากระทรวงกลับไม่มีแอ็กชั่นอะไรออกมาให้เห็นโดดเด่นอะไรเลย
ดังนั้น หากพิจารณาจากท่าทีและการเคลื่อนไหวของระดับกลไกสำคัญของรัฐบาล ก็จะเห็นการเคลื่อนไหวในลักษณะ “แบก” อยู่คนเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เท่านั้น ส่วนคนอื่นนอกเหนือจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องออกรบใน “แนวหน้า” แล้ว หน่วยงานอื่นโดยเฉพาะฝ่ายตำรวจและปกครอง ที่ดูแลในพื้นที่ถือว่า “สอบไม่ผ่าน” ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับบังคับบัญชาเจ้ากระทรวงที่ถือว่างานนี้พิสูจน์ชัดว่า ไม่ทันสถานการณ์ ยังมาแบบ “รัฐข้าราชการ” ที่ตกยุคไปแล้ว !!