xs
xsm
sm
md
lg

โควิดระบาดรอบสอง กระแทกตำรวจสะเทือนหนัก !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา - พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข
เมืองไทย 360 องศา

แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ในเวลานี้ จะอยู่ในภาวะ “ทรงตัว” ไม่ได้เพิ่มสูงปรี๊ด แต่ก็ไม่ได้ลดลงมากนัก เพราะล่าสุด วันที่ 11 มกราคม จากการแถลงของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานว่า มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มจำนวน 249 ราย แยกเป็นผู้ติดเชื้อภายในประเทศจำนวน 224 ราย โดยจังหวัดที่พบการระบาดมากอันดับหนึ่ง ยังเป็นจังหวัดสมุทรสาคร 37 ราย กรุงเทพมหานคร 36 ราย นนทบุรี 31 ราย และอ่างทอง 19 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 10,547 ราย และยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 67 ราย

นั่นเป็นสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อภายในประเทศล่าสุดที่รายงานเข้ามา ถือว่ายังน่ากังวลอยู่ แม้ว่าจะไม่ออกมาแบบเพิ่มขึ้นพรวดพราดเป็นหลักหลายร้อย หรือหลักพันเหมือนกับก่อนหน้าที่พบที่จังหวัดสมุทรสาคร และต่อมาก็พบการระบาดแบบแพร่กระจายในภาคตะวันออก โดยเริ่มที่จังหวัดระยอง ชลบุรี จันทบุรี และตราด ในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงสองสามจังหวัดดังกล่าว โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรสาคร และระยอง รวมไปถึงจังหวัดอื่นๆ อีกหลายจังหวัดในขณะนี้ ที่เชื่อมโยงกันและเป็นต้นตอของการระบาดรอบใหม่นั้น มันเกี่ยวพันกับเรื่องของ “บ่อนการพนัน” และ “แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย” ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสองเรื่องดังกล่าว ก็ต้องเชื่อมโยงไปถึงสองสามหน่วยงานหลักในประเทศนี้ นั่นคือ ตำรวจ มหาดไทย ทหาร ที่เป็นลักษณะของงานเกี่ยวข้องกับการรักษากฎหมาย งานด้านปกครอง และความมั่นคงเป็นหลัก

ไม่ต้องอ้อมค้อม วกวน ก็ต้องบอกว่าสาเหตุของการระบาดรอบใหม่ของเชื้อโควิด-19 นั้น สาเหตุหลักมาจาก แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และเรื่องบ่อนการพนัน นั่นเอง และหากตีวงแคบเข้ามาก็ต้องพุ่งเป้าไปที่ฝ่ายตำรวจ และฝ่ายปกครองในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก


แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีฝ่ายทหารเข้าไปเกี่ยวข้องในการป้องกันตามแนวชายแดนอันยาวเหยียดนับพันกิโลเมตร ตั้งแต่เหนือจรดใต้ แต่เรื่องอื้อฉาวกลับมีให้เห็นได้น้อยกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการปิดบังได้มิดชิดกว่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าเมื่อยังไม่มีเรื่องก็ต้องยกประโยชน์ให้แล้วกัน

แต่ที่ต้องโฟกัสกันชัดเจน ก็คือ หน่วยงานด้านตำรวจ และฝ่ายปกครอง ทั้งในระดับจังหวัดลงมาถึงระดับอำเภอของกระทรวงมหาดไทย งานนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก ความหมายก็คือ “ถูกด่ายับ” นั่นแหละ แต่ที่หนักที่สุดก็ยังเป็น “ตำรวจ” เช่นเดิม อาจเป็นเพราะหน้าที่ของตำรวจต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนตั้งแต่เช้ายันค่ำ เป็นการเกี่ยวข้องด้านกฎหมาย ซึ่งมีความเกี่ยวพันไปถึง “อิสรภาพ” ของประชาชนอีกด้วย เพราะสามารถเอาผิดกับประชาชนได้ ในฐานะผู้รักษากฎหมายนั่นเอง

แต่สำหรับกรณีดังกล่าว ที่มาจากเรื่อง “บ่อนการพนัน” ที่ถูกระบุว่าเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดรอบใหม่ รวมไปถึงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของฝ่ายผู้บริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงแรกถือว่า “สวนทาง” กับความจริง และความรู้สึกของสังคมอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิโกรธได้แบบแพร่กระจายในวงกว้างไม่ต่างจากเชื้อโควิดเช่นเดียวกัน และงานนี้ด้วยความรู้สึกทั่วไปย่อมรับรู้ว่ามันเกี่ยวกับเรื่อง “ส่วย” นั่นเอง

เช่นเมื่อเกิดการติดเชื้อมาจากนักพนันที่เข้าไปเล่นการพนันในบ่อนที่จังหวัดระยอง และมีการแพร่กระจายในวงกว้าง ฝ่ายตำรวจระดับสูงในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดระยอง ที่ยังยืนกรานว่า ไม่มีบ่อน แถมตอบแบบเล่นลิ้นอีกว่า เป็นแต่เพียงการลักลอบเล่นการพนัน อะไรทำนองนั้น

ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ก็พยายามหลบหน้า ก็ยิ่งกระพือความโกรธ เรียกเสียงวิจารณ์ด่ากันขรมทั่วประเทศ เพราะเรื่องนี้ชาวบ้านเขารับรู้กันทั่ว และยิ่งในยุคโซเชียลเทคโนโลยีดาวเทียม กูเกิลเสิร์ช หาภาพก็ยังเจอว่าอยู่ตรงไหน ขณะที่ตำรวจที่มีมักถูกเหน็บแหนมอยู่เสมอ ในทำนองว่า “ไม่มีอะไรที่ตำรวจไม่รู้ หรือทำไม่ได้” แต่เรื่องบ่อนในพื้นที่ กลับไม่รู้ !!

ที่สำคัญ เรื่องบ่อนในพื้นที่จังหวัดระยอง และอีกหลายพื้นที่ข้อมูลแทบทั้งหมดล้วนมาจากการ “สอบสวนโรค” ของบุคลากรทางการแพทย์เกือบทั้งสิ้น และแม้ว่าตามสูตรแล้ว เมื่อมีบ่อนหรือมีการจับกุมเกิดขึ้นก็ย่อมนำมาซึ่งการ “ย้าย” เริ่มแรกก็มีระดับผู้กำกับ มาถึงผู้บังคับการ และในที่สุดก็มาถึงระดับผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 ตามลำดับ

และสั่นสะเทือนมาถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วย ที่มีผู้ให้ข้อมูลว่า อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 คนดังกล่าว เป็น “คนสนิทของคนสนิท” นายกฯ ซึ่งก็ย่อมตกเป็นขี้ปากชาวบ้านในทางลบได้ไม่ยาก


อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการโยกย้ายตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับผู้บัญชาการลงไปถึงระดับชั้นผู้กำกับสถานี และมีการตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง แต่ในสังคมยุคใหม่ที่ถือว่าไปไกลกว่านั้นมากแล้ว เนื่องจากมองว่า “ไม่ตอบโจทย์” และเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาแบบ “ล้าสมัย” หมดยุคไปแล้ว เห็นว่าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ คือ การ “ซื้อเวลา” และการย้าย ก็เป็นเพียงลดกระแสชั่วคราว พอนานไปก็อาจย้ายกลับมาที่เก่า หรือเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นเสียอีก

แต่สิ่งที่ชาวบ้านอยากเห็นคือ การ “ปฏิรูปตำรวจ” และระบบราชการให้ทันสมัย ทันยุคกับการเปลี่ยนแปลง แม้จะรับรู้ว่าเป็นเรื่องยาก แต่หากมีความกล้าหาญก็ย่อมทำได้ และที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี น่าจะมีข้อมูลเรื่องดังกล่าวเอาไว้ในมือมากกว่าใคร เพราะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาหลายชุดมาก และที่ใกล้ความจริงมากที่สุดก็เห็นจะได้แก่ คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจชุดที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ที่สรุปออกมาเป็นพิมพ์เขียวแล้ว แต่ก็แท้งอีกจนได้

ดังนั้น คราวนี้ก็น่าจับตาว่าจะมีการเดินหน้าอีกหรือไม่ เพราะหากไม่ทำอะไรก็จะยิ่งเสื่อมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น