xs
xsm
sm
md
lg

“โควิด” ประจาน ตำรวจ-ฝ่ายปกครอง เละ!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข
เมืองไทย 360 องศา


  บางครั้งในเรื่องร้ายๆ ที่ก่อให้เกิดวิกฤตประเทศในด้านต่างๆ อย่างเช่น กรณีการระบาดรอบใหม่ของเชื้อ “โควิด-19” ที่ทำเอาอ่วมอรทัยไปตามๆ กัน เพราะเริ่มกระจายผู้ติดเชื้อไปทั่วประเทศเป็นตัวเลขรวมประจำวันหลักหลายร้อย และบางวันก็จะแตะหลักพันคนเลยก็มี

ขณะเดียวกัน ในมุมของโรคร้ายดังกล่าว มันก็มาพร้อมกับความ “เน่าเฟะ” ของระบบราชการ และบางหน่วยงานอย่างที่กำลังมีการ “เปิดโปง” ตำรวจ กับฝ่ายปกครอง รวมไปถึงน่าจะรวมไปถึงฝ่ายความมั่นคงบางส่วนเข้าไปด้วยอย่างแน่นอน
เพราะหากย้อนกลับไปไม่นานช่วงที่เกิดการระบาดในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ที่เริ่มจากเจ้าของแพกุ้ง แต่เมื่อมีการสอบสวนโรคก็พบว่ามาจากกลุ่ม “แรงงานต่างด้าว” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อซักไซ้ละเอียดลงลึกไปอีก ก็จะเกี่ยวข้องกับ “แรงงานผิดกฎหมาย” หรือ “แรงงานเถื่อน” นั่นแหละ ที่ตามตัวเลขมีอยู่จำนวนมาก
เมื่อพูดถึง “แรงงานเถื่อน” ดังกล่าวนี้ พอหลับตาก็น่าจะนึกภาพออกว่าต้องเชื่อมโยงกับใคร ข้าราชการฝ่ายใด หากไม่ใช่ฝ่ายตำรวจ ที่แยกย่อยไปอีก เช่น เป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) เป็นต้น ยังมีฝ่ายปกครอง ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายความมั่นคง อีกจิปาถะ
แน่นอนว่า เป็นการ “ชี้หน้าแต่ไม่มีหลักฐาน” ไม่สามารถเจาะจงลงไปได้ว่าเป็นใครบ้าง แต่รับรองว่าในความรู้สึกของชาวบ้านที่รับรู้ และชาชินกับเรื่องประเภทนี้ แต่ขณะเดียวกัน ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า มีขบวนการ “ค้าแรงงานเถื่อน” ซึ่งในพื้นที่สมุทรสาคร มีการเอ่ยชื่อ “เสี่ย” หรือ “เฮีย” บางคนที่ในวงการรับรู้กันดี แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้เป็นมาเฟียระดับไหนก็ตาม แต่ไม่มีทาง “ใหญ่” ไปกว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ถือกฎหมายไปได้หรอก ที่สำคัญมันต้อง “จ่ายส่วย” ให้กับเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว
และเชื่อเถอะว่า เป้าหมายที่เป็น “จำเลย” สำคัญที่สุดก็ยังเป็น “ตำรวจ” อยู่เช่นเดิม แม้จะมีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น ฝ่ายปกครองในสังกัดมหาดไทย และฝ่ายทหาร รวมไปถึงกระทรวงแรงงาน แต่หน่วยงานหลักในการจับกุม กวาดล้างก็ต้องพุ่งไปที่ตำรวจเป็นอันดับต้นๆ

และสำทับว่าด้วยเรื่อง “บ่อนการพนัน” ที่ล่าสุดเวลานี้ถือว่าเป็น “แหล่งแพร่ระบาดใหญ่” อีกแห่งหนึ่งแล้ว หลังจากที่มีการตรวจพบที่จังหวัดระยอง และอีกหลายจังหวัดในภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ชลบุรี เป็นต้น รวมไปถึงในกรุงเทพมหานคร ซึ่งในเบื้องต้นทางฝ่ายตำรวจปฏิเสธคอเป็นเอ็นว่า “ไม่มี” โดยเล่นคำว่า เป็นเพียงแค่การลักลอบเล่นพนันเท่านั้น
ก็อย่างที่รู้กัน “ความแตก” ก็มาจากการสอบสวนโรคของ “หมอ” หลังจากที่เกิดอาการป่วยจากการติดเชื้อโควิด จนมีการเค้นออกมาว่า “ติดเชื้อจากในบ่อน” และก็ตามสูตร นำไปสู่การย้ายผู้บังคับการตำรวจจังหวัดระยอง และก็มาถึงผู้บังคับการจังหวัดจันทบุรี ตามมาเป็นรายล่าสุด และยังมีกรณีการเปิดเผยจากผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ที่ระบุว่า พบผู้ติดเชื้อ 2 รายล่าสุด เป็นสองสามีภรรยา ที่ให้ข้อมูลว่า “ทำงานในบ่อนพนันย่านปิ่นเกล้า” ความหมายที่ตรงตัวก็คือ งานนี้ใครจะต้องรับผิดชอบ จากการมีบ่อนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แค่ระดับผู้กำกับการสถานี หรือระดับผู้บังคับการในพื้นที่ หรือผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หรือสูงขึ้นไปคือ ระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข หรือไม่
ที่ผ่านมา หากไม่มีเรื่องโควิดระบาดรอบใหม่ เรื่อง “บ่อน” ก็คงไม่ “แดง” ออกมาแบบนี้ กลายเป็นว่า ยังมีนักพนันเดินเข้าบ่อนกันอย่างเงียบๆ ต่อไป และก็เคยมีการแฉออกมาเป็นระยะว่า มีบ่อนอยู่ทั่วกรุงเทพฯ แต่ก็เงียบหายไป เพราะหาหลักฐานที่ชัดเจนไม่ได้ จนเรื่องก็เงียบหายไปเองเช่นทุกครั้ง
แต่คราวนี้ถือว่าผิดไปจากทุกครั้ง เพราะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “โรคระบาด” ต้องมีการสอบสวนโรค เพื่อหาแหล่งที่มาต้นตอโรค มันถึงได้ “โป๊ะเชะ” ว่ามาจากบ่อนที่นั่น ที่นี่ แม้แต่ในกรุงเทพฯ ที่มีการยืนยันว่า “ไม่มี” ก็ยืนยันจากปากผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ว่า ผู้ติดเชื้อในจังหวัดมาจากสามีภรรยาที่บอกว่าทำงานในบ่อนย่านปิ่นเกล้า คำถามก็คือ “แล้วยังไงต่อ”
เพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ก็ยืนยันว่า “ไม่มีบ่อน” และตามด้วยคำถามอีกว่า หาก “หมอมีข้อมูลเรื่องบ่อน ก็ให้แจ้งฝ่ายตำรวจ” จนเกิดเสียงโห่ฮาตามมา จนต้องเงียบเสียงไป และมาโผล่จากปากผู้ว่าฯกาญจนบุรี ว่า มีผู้ติดเชื้อจากบ่อนย่านปิ่นเกล้าดังกล่าว ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็เลือกใช้วิธี “นิ่งเงียบ” ต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นที่มากับโควิด-19 ในรอบใหม่นี้ อีกมุมหนึ่งมันก็เป็นการ “ประจาน” การทำงานของเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายตำรวจและฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคงบางส่วน ว่า มีความเละเทะ สมแล้วกับลักษณะการเปรียบเทียบให้เห็นภาพการเป็น “รัฐข้าราชการ” ที่ปกปิดช่วยเหลือกัน แต่เมื่อ “เรื่องแดง” ออกมาให้เห็น มันก็น่าจะถึงเวลาที่ต้อง “ผ่าตัดใหญ่” กันได้แล้ว แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีใครเป็นผู้นำ และกล้าทำ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น